เสียงฟาดผ้าดังสลับไม่หยุดในลานซักผ้ากลางเมืองบอมเบย์ ที่นี่คือ Dhobi Ghat ลานซักผ้าที่อยู่กลางเมืองบอมเบย์ ใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Slumdog Millionaire (2008) คงจำฉากในโดบิกาตได้ แม้ทุกวันนี้ใครๆก็เป็นเจ้าของเครื่องซักผ้าได้ไม่ยาก แต่โรงแรมและโรงพยาบาลส่วนใหญ่ จนถึงบ้านของครอบครัวผู้มีอันจะกิน ก็ยังรักษาวัฒนธรรมส่งผ้ามา “ฟาด” ที่โดบิกาต เคล็ดลับคือสบู่ที่ใช้ซักผ้า ทำจากน้ำมันมะพร้าวผสมน้ำด่าง ซึ่งรักษาเนื้อผ้าฝ้ายและลินิน น้ำในอ่างซักผ้าจึงมีสีคล้ำจากน้ำด่างนี่เองงาน “รับผ้า” แต่ละบ้านส่งทอดจากรุ่นแม่ไปสู่รุ่นลูก คนซักผ้าของแต่ละครอบครัวมีสถานะพิเศษ ไม่ใช่แค่ washman ที่มารับส่งผ้าไปซักรีด ความผูกพันทำให้ลานซักผ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกระดับกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์มีผู้คนราว 7,000 ชีวิต ผลัดเวียนเข้ามาผลักเฟืองธุรกิจนี้จากรุ่นสู่รุ่นเนิ่นนานถึง 125 ปีแล้วภาพจำของคนทั่วไปสำหรับอินเดียเป็นสตอรีที่ไม่ค่อยประทับใจ แต่ตัวเลขการท่องเที่ยวอินเดียกลับเติบโตไม่หยุด เพราะคนยุคใหม่ที่นิยมเดินทางเองรู้จักมองเฉพาะช่องที่มีเสน่ห์ บอมเบย์หรือมุมไบเป็นสวรรค์ของการถ่ายภาพ เป็นห้องเรียนที่อัดแน่นด้วยทักษะชีวิตผู้คนเกือบ 20 ล้านคน คนรวยที่สุดในโลกอยู่ในบอมเบย์ สลัมที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็อยู่ที่นี่ สายการบินไทยสไมล์ เปิดเส้นทางบินตรงสู่มุมไบและอีก 6 เมืองในอินเดีย เพื่อนำพาผู้คนไปสัมผัสอารยธรรมเก่าแก่ อันเป็นเอกลักษณ์ที่มีเพียงไม่กี่แห่งในโลก...บอมเบย์เปลี่ยนชื่อเป็นมุมไบเมื่อปี 1995 ด้วยเหตุผลด้านชาตินิยม แต่คนส่วนใหญ่ยังชอบเรียกว่าบอมเบย์อย่างชินปาก เช่น Bollywood ยกเว้นป้ายโฆษณาและเอกสารทางราชการที่ใช้ Mumbai เมืองที่เคยเป็นหมู่บ้านประมงชายฝั่งเมื่อร้อยปีก่อน วันนี้เติบโตอย่างรวดเร็วเพราะสภาพกายภาพที่เหมาะเป็นท่าเรือน้ำลึก กลายเป็นประตูการค้าของอินเดียด้านตะวันตกไม่มีใครเป็น “คนบอมเบย์” โดยกำเนิด ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเพราะบอมเบย์เป็นดินแดนแห่งความหวังตั้งแต่ยุคอาณานิคม รถไฟขบวนแรกในบอมเบย์เริ่มต้นตอนตีสี่หมดตอนตีหนึ่ง แต่ละขบวนพ่วงต่อยาวกว่าสิบตู้ ประตูตู้รถไฟไม่เคยปิด อัดแน่นด้วยผู้โดยสารวันละกว่า 1.6 ล้านคน ฉึกฉัก อย่างตรงเวลาบนรางเหล็กยาว 500 กม. ลากเป็นเส้นตรงจากแผ่นดินใหญ่ถึงปลายแหลมของเกาะ ริกชอว์หรือสามล้อหัวเตารีดราวสองแสนคัน และเยลโล่วแค็ปอีก 50,000 คัน วิ่งรับส่งคนตลอดทั้งวันทั้งคืน...บอมเบย์ไม่เคยหลับ ผู้ชายอินเดียชอบอาหารฝีมือแม่บ้าน แต่คร้านหิ้วปิ่นโตเอง ธุรกิจ “ดับบาวาลาส” (Dabbawalas) จึงเกิดขึ้นในอินเดีย เฉพาะในบอมเบย์ธุรกิจนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1890 นานพอๆกับโดบิกาต เป็นการบริหารจัดการที่น่าทึ่ง ไม่ต้องโทร.สั่ง ไม่มีใบรับ-ส่ง แค่วางปิ่นโตที่ติดชื่อคนรับไว้หน้าบ้านตอนเช้า ปิ่นโตก็จะเดินทางไปด้วยรถไฟ ต่อจักรยาน ต่อการเดินเท้า วางบนโต๊ะทำงานพอดิบพอดีเวลาอาหารกลางวัน แล้วกลับไปอยู่หน้าประตูบ้านผู้ส่งตอน 5 โมงเย็นเป๊ะ! (เจ้าชายชาร์ลสแห่งเวลส์ถึงกับจัดสัมมนาเพื่อทำวิจัยเรื่องนี้ด้วยความสนพระทัย) ว่ากันว่าดีลิเวอรีแมนในบอมเบย์ไม่ค่อยชอบหนังเรื่อง The Lunchbox เพราะร้อยกว่าปีที่ธุรกิจนี้ดำรงอยู่ ไม่เคยมีกรณีส่งปิ่นโตผิดเหมือนอย่างในหนังแม้สักครั้งเดียว ส่วนผู้หญิงก็หมั่นไส้หนังเรื่องนี้ เพราะตอนจบไม่ยอมเฉลยว่าคู่พระ-นางลงเอยกันแบบไหน? ปล่อยให้เดาวุ่นวายใจเอาเองนั่งเรือออกจากประตูอินเดีย (Gate of India) ประมาณชั่วโมงจะไปถึงเกาะกลางอ่าว บนเกาะมีถ้ำช้าง (Elephanta Caves) โบราณสถานที่เป็นหินอัคนีสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 1,500 ปีก่อนเพื่อเป็นเทวาลัยตามไศวะนิกาย แต่พิเศษกว่าทุกแห่งคือ ภาพแกะสลักศิวะเทพ 3 ปางสูงประมาณ 6 เมตร ด้านขวาเป็นใบหน้าสตรีเรียกว่า “อุมาภควาตี” เป็นภาคผู้สร้าง ด้านซ้ายทรงงูเห่าที่คออย่างที่เราคุ้นเคยเรียกว่า “ไกรวะ” เป็นภาคผู้ทำลาย ส่วนตรงกลางเป็นผู้รักษา เรียกว่า “จันทรเศขรมูรติ” หรือผู้ทรงจันทร์เป็นปิ่น พระศิวะที่รวมสามหน้านี้เรียกว่า “มเหศวรมูรติ” งานแกะสลักที่งดงามที่สุดในถ้ำช้าง โบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโบราณสถานอีกแห่งหนึ่งที่โด่งดังและได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกอีกเช่นกัน คือถ้ำกัณเหรี (Kanheri caves) อยู่ในอุทยานแห่งชาติซานเจห์คานธี บนเกาะซัลเซตต์ ห่างจากตัวเมืองบอมเบย์ไปทางทิศเหนือประมาณ 30 กม. พื้นที่สีเขียว 87 ตร.กม.แห่งนี้จึงเป็นปอดของบอมเบย์ คำว่า “กัณเหรี” แปลว่าดำ บริเวณถ้ำเป็นภูเขาหินอัคนีสีดำ ต่างจากถ้ำช้างตรงที่ถ้ำกัณเหรีใช้วิธีเจาะภูเขาทั้งลูกเพื่อสร้างเป็นช่องคูหาทั้งหมด 109 ห้อง ส่วนถ้ำช้างเป็นการนำก้อนหินเข้าไปสร้าง ถ้ำกัณเหรีเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นเมื่อกว่าสองพันปีก่อน เฉพาะในคูหาด้านล่างที่มีงานแกะสลักนูนสูงรูปพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ ส่วนคูหาด้านบนภูเขาเจาะเป็นกุฏิสำหรับพระสงฆ์ที่มาแสวงธรรมในครั้งโบราณเช่นเดียวกับเมืองใหญ่ๆหลายแห่งในอินเดีย บอมเบย์โอบอุ้มผู้คนไว้ราว 20 ล้านคน ในด้านสาธารณูปโภคย่อมมีข้อด้อยมากมายถ้ามองอย่างเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ อินเดียเพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 2490 หรือ 72 ปีที่ผ่านมา นับว่าเป็น “ประเทศใหม่” สำหรับการบริหารจัดการ โดยมีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลก (1.3 พันล้านคน) แต่เนื้อแท้ของอินเดียคือ วัฒนธรรมที่ฝังรากในอารยธรรมของมนุษยชาติเนิ่นนานกว่า 5,000 ปีมองด้วยความเข้าใจในคุณค่านี้ อินเดียก็คือโลกที่มีเสน่ห์ ควรค่าแก่การแสวงหาเพื่อเติมประสบการณ์ชีวิต...!!!!