สถานการณ์ความขัดแย้งไทย–กัมพูชารอบใหม่ ถือเป็นสิ่งยืนยันว่า “สงคราม” สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา กลบฝังคำว่ายุคนี้ไม่มีอีกแล้วที่ใครเขาจะรบกัน หากยกตัวอย่างบ้านเราแล้วไม่พอใจ มองว่าเราล้าหลังหรือคนไทยบ้าสงคราม ก็คงต้องขอข้ามไปยกตัวอย่างชาติมหาอำนาจอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ที่เพลานี้กำลังแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าต้องการใช้กำลังทางทหารในการกดดันให้รัฐบาลเวเนซุเอลายอมศิโรราบ และขจัด “ผู้นำอันไม่พึงประสงค์” ออกไปให้พ้นทางโดยกรณีนี้ย่อมไม่สามารถอ่านสองสามบรรทัดแล้วจะเกิดความตระหนักรู้ขึ้นมาได้ เนื่องจากเป็นการเดินเกมขั้นสูงอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การ “ใช้กำลังทางทหาร” ใดๆที่อาจเกิดขึ้นมีความชอบธรรมมากที่สุดจำเป็นที่ต้องจำแนกอย่างเป็นขั้นเป็นตอนให้เห็นภาพ เริ่มจากการป่าวประกาศตอกย้ำเป็นระยะให้คนคุ้นชิน (เหมือนกับเป็นเรื่องปกติ) ว่ารัฐบาลเวเนซุเอลาประธานาธิบดี “นิโคลัส มาดูโร” เป็นตัวร้าย เป็นรัฐบาลเผด็จการ และอยู่เบื้องหลังขบวนการก่อการร้าย “ยาเสพติด” ที่สร้างภัยคุกคามแก่สังคมและความสงบสุขคู่ขนานไปกับการกำหนดเรื่องราว “แต่เวเนซุเอลายังมีหวัง” คนส่วนใหญ่ไม่ได้แย่ มีคนที่พร้อมจะต่อสู้ให้ประเทศก้าวเดินต่อไป อย่างเช่น “มาเรีย คอรินา มาชาโด” แกนนำพรรคฝ่ายค้านที่ถูกหยิบยกมาประทินโฉม และจับยัดรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2568หลังจากกำหนดตัวละครกันเรียบร้อย ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ใครเป็นพระเอกใครเป็นผู้ร้าย จึงนำไปสู่การเดินหน้าเกมความมั่นคง เคลื่อนกองเรือรบและฝูงบินไปประจำการในทะเลแคริบเบียน โดยดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปเหมือนกับการวางหมากรุก เรือลาดตระเวน-เรือดำน้ำไปแล้ว ต่อด้วยเรือยกพลขึ้นบก เรือบัญชาการหน่วยรบพิเศษ ก่อนจบด้วยของใหญ่ ส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือคุ้มกันมาจากยุโรปจากรวมพลกันอยู่ที่เกาะเปอร์โตริโก ก็เริ่มขยับเข้าใกล้เวเนซุเอลามากขึ้น จนตอนนี้ตำแหน่งที่ตั้งของกองกำลังสหรัฐฯในทะเลแคริบเบียน มีลักษณะไม่ต่างกับการ “ขึงตาข่าย” ล้อมน่านน้ำหลายชั้น โดยมีเรือยกพลขึ้นบกไปซักซ้อมความพร้อมอยู่ที่ตรินิแดด แอนด์ โตเบโก เกาะทางตะวันออกของน่านน้ำเวเนซุเอลา และเพื่อให้การรบที่อาจเกิดขึ้นมีประสิทธิภาพสูงสุด ทางกองทัพสหรัฐฯจึงเริ่มการส่งฝูงบินทิ้งระเบิดเข้าไปป้วนเปี้ยน เพื่อตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของหน่วยรบเวเนซุเอลา โดยเฉพาะตำแหน่งที่ตั้งของระบบต่อต้านอากาศยานทั้งหมด เวลาที่สัญญาณไฟเขียวมาจริงๆ จะได้ทำลายให้สิ้นซาก และเข้าสูตรตามตำรา แอร์ ซูพรีออริตี้ ครองน่านฟ้าอย่างเสร็จสรรพ บินรบหย่อนไข่ใส่หัวข้าศึกได้ตาม ใจชอบในขณะเดียวกัน มาตรการความมั่นคงดังกล่าวยังดำเนินครบทุกมิติ ประธานาธิบดีสหรัฐฯสั่งอนุมัติให้ หน่วยข่าวกรอง CIA ปฏิบัติการบ่อนทำลายใต้ดินในประเทศเป้าหมาย เริ่มการยิงถล่มเรือต้องสงสัยว่าลักลอบขนแก๊งอาชญากรรมและยาเสพติด ก่อนออกประกาศคำเตือน ปิดน่านฟ้าเวเนซุเอลา ซึ่งความหมายคือสายการบินพาณิชย์ที่มีเส้นทางเข้าออกหรือบินผ่าน ควรตัดสินใจให้ดี และใช้ความระมัดระวังสูงสุดนำมาสู่การยกระดับเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางการสหรัฐฯส่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคง FBI เข้าบุกยึดเรือบรรทุกน้ำมันดิบเวเนซุเอลา ที่กำลังเดินทางสู่ประเทศคิวบา โดยให้เหตุผลว่าเป็นน้ำมันที่จะถูกส่งไปขายให้อิหร่าน ถือว่าละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่พยายามป้องปรามไม่ให้น้ำมันตกไปอยู่ในมือของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน ผู้ให้การสนับสนุนเครือข่ายก่อการร้ายในภูมิภาคตะวันออกกลางปิดท้ายด้วยการออกมาชี้แจงทันทีหลังเหตุเข้ายึดเรือน้ำมัน 1 วันว่า บริษัทขนส่งทางเรือและเรือบรรทุกน้ำมัน 6 ลำของเวเนซุเอลา ถูกขึ้นบัญชีคว่ำบาตรเป็นที่เรียบร้อย เท่ากับตีความได้ว่าจากนี้ไปการขนน้ำมันดิบซึ่งเป็นรายได้สำคัญของเวเนซุเอลา จะอยู่ในความควบคุมของสหรัฐฯทั้งหมด ขนออกมาเมื่อไรก็ยึดเมื่อนั้นและแน่นอนเรื่องนี้เคยมีรายงานที่มาที่ไปกันแล้วว่าทำไมสหรัฐฯกำลังดำเนินการเช่นนี้ โดยข้อมูลส่วนหนึ่งจากสื่อมวลชนสหรัฐฯบ่งชี้เป็นระยะๆว่า รัฐบาลกำลังเดินเกมระดับยุทธศาสตร์ ลดอิทธิพลของชาติน้ำมันในภูมิภาคตะวันออกกลาง หากได้เข้าถือครองแหล่งน้ำมันดิบขนาดใหญ่ในซีกโลกตะวันตก (เวเนซุเอลา) สำเร็จเรื่องราวทั้งหมดจึงนำไปสู่สภาพความเป็นจริงของโลกใบนี้ ว่าทำไมภาคความมั่นคงถึงไม่สามารถละทิ้งได้ เช่นเดียวกับคำถามว่าทำไมถึงไม่คุยกันดีๆ ช่องทางการทูตมีไว้ทำไม ซึ่งสามารถยกตัวอย่างได้เช่นกันว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเวเนซุเอลา มีการหารือบนดินใต้ดินกันแล้วหลายต่อหลายครั้งโดยกรณีนี้ทางรัฐบาลสหรัฐฯเป็นผู้ประกาศเองว่า ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระงับการติดต่อหารือทั้งหมด ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการต่อสายหารือกับนายนิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ซึ่งทางผู้นำเวเนซุเอลาพยายามต่อรองร้องขอเรื่องอย่ายึดเงิน ขอความคุ้มครองเหล่าลูกน้องที่จงรักภักดี และมองแนวทางลี้ภัยไปอยู่ชาติบ้านใกล้เรือนเคียง เพียงแต่อีกฝ่าย “ไม่โอเค” ยืนยันในฐานะผู้ที่มีความได้เปรียบมากกว่า ว่าหากจะเนรเทศ ก็ควรไปอยู่อีกซีกโลก อย่ามาให้เห็นหน้าในภูมิภาคอีกฉันใดฉันนั้น หากประเทศไทยเราไม่มีความน่าเกรงขาม แล้วจะมีน้ำหนักอันใดเวลาเจรจาต่อรองคงโดนอันธพาลตบหัวอยู่ร่ำไป และทำได้แค่เพียงร้องไห้โวยวายว่าหยุดเถอะๆ พอได้แล้วขอรับ.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม