RAM (Random Access Memory) หรือ “แรม” เป็นหน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่เก็บข้อมูลชั่วคราวระหว่างเปิดเครื่องทำงาน ช่วยเหลือในเรื่อง “ความไว” เวลาที่เราเปิดโปรแกม แอปพลิเคชัน เล่นเกม หรือทำงานที่ต้องใช้ทรัพยากรอย่างการตัดต่อภาพและวิดีโอแรมถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยลดโหลดการประมวลผลของ ชิปประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถดึงข้อมูลไปใช้ได้เลย โดยไม่ต้องรอการทำงานของอุปกรณ์เก็บข้อมูล (SSD, Memory Cards, Harddisk) ที่มีความเร็วไม่เท่ากับการคำนวณผลของซีพียูเวลาที่เราใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถือ กดเปิดโปรแกรมหรือแอปพลิเคชัน จะมีช่วงเวลาในการรอให้มันคิด สิ่งนี้เองคือการที่หน่วยความจำกำลังส่งข้อมูลไปยังระบบประมวลผล โดยมีแรมเป็นจุดคัดกรองสินค้าให้ของไปถึงอย่างรวดเร็ว เวลาเปิดโปรแกรมหนักๆหรือใช้งานอะไรหลายอย่างพร้อมกันเยอะๆจนเครื่องอืดนั้น บางครั้งก็เกิดจากแรมไม่พอนั่นเองอย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่กำลังเตรียมประกอบคอมพิวเตอร์ใหม่ หรือมีโครงการซื้อคอมพิวเตอร์ให้แก่ลูกหลานอาจสังเกตได้ว่า ราคาแรมในช่วงนี้แพงขึ้นอย่างน่าใจหาย การเทียบราคาเมื่อช่วงปลายปีก่อนหรือช่วงต้นปี แรมขนาดความจุ 32 กิกะไบต์จากเคยอยู่ที่ประมาณ 2,000 ปลายๆถึง 3,000 บาทต้นๆ มีราคากระโดดไปแล้วถึง 9,800 ถึง 12,000 บาท ยิ่งหากความจุมากและบัสสูง (ความเร็วในการส่งข้อมูล) ราคาอาจพุ่งไปถึง 19,000 บาทตีกลมๆว่าภายในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาพุ่งไปแล้วเกิน 3 เท่าตัว และเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นทั่วโลก อย่างในสหรัฐอเมริกาก็ไม่ต่างกัน ราคาแรมของผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ (ความจุ 32 กิกะไบต์) มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 12,800 บาท โดยสาเหตุของเรื่องนี้ มีต้นตอมาจากปัญหาอุปสงค์-อุปทานของการที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลก กำลังเร่งเครื่องพัฒนา “ระบบปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI เช่นเดียวกับเมกะโปรเจกต์สร้าง “ดาต้า เซ็นเตอร์” ศูนย์เก็บข้อมูลดิจิทัลในประเทศต่างๆ ซึ่งระบบเหล่านี้จำเป็นต้องใช้แรมปริมาณมหาศาลมาเพิ่มความเร็วของการประมวลผล จนเกิดการแย่งชิงสั่งซื้อแรมจากโรงงานผู้ผลิตในลักษณะที่ “เหมามาก่อน” เผื่อได้มาไม่มากพอขณะที่ฟากผู้ผลิตก็ได้โอกาสน้ำขึ้นให้รีบตัก ตัดสินใจยกระดับไลน์การผลิตแรมคุณภาพทั่วๆไป ให้กลายเป็นแรมที่เหมาะสมกับการพัฒนาระบบเอไอ เรียกว่า HBM : High-bandwidth memory ที่สามารถส่งข้อมูลไปยังระบบประมวลได้ในปริมาณสูง โดยกรณีนี้ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า การผลิตแผงเวเฟอร์ (สำหรับทำไมโครชิป) ตามปกติแล้ว ของที่ออกมาจะมีคุณภาพแตกต่างปะปนกัน ของที่ออกมาดีไม่บกพร่องก็จะถูกนำไปทำเป็นสินค้าคุณภาพสูงราคาแพง ส่วนของที่ไม่เต็มร้อยมีบกพร่องบ้างก็จะถูกนำไปผลิตเป็นสินค้าราคาจับต้องได้ในเมื่อผู้ผลิตที่ครองสัดส่วนใหญ่ของตลาดอย่างซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ เอสเค ไฮนิกซ์ หรือไมครอน เทคโนโลยี เลือกที่จะคุมคุณภาพให้มีแต่ของขั้นสูงออกมา ก็เท่ากับว่าของที่มีคุณภาพในระดับชีวิตประจำวัน อย่างแรมในมือถือ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เก็บข้อมูล ย่อมมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ ทุกคนกำลังแห่ไปผลิตแต่สินค้าพรีเมียม ไม่มีใครเสียเวลาไปผลิตสินค้าสำหรับชาวบ้านทั่วไปด้านบริษัท ไมครอน เทคโนโลยี ประกาศแล้วว่า จะลดไลน์การผลิตสำหรับผู้บริโภคทั่วไปในต้นปี 2569 เพื่อไปเพิ่มปริมาณการผลิตให้แก่ลูกค้ากลุ่มเอไอและดาต้า เซ็นเตอร์ขณะที่ไมโครซอฟท์และกูเกิลสั่งจองไปยังผู้ผลิตต่างๆว่าเอาแรมมาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะส่งได้ บริษัท ไบต์แดนซ์ของจีน กำลังกดดันให้ซัมซุงส่งแรมมาให้มากกว่าที่เคยสั่งซื้อกัน ส่วนบริษัทซัมซุงฝ่ายที่ดูแลเรื่องการผลิตสมาร์ทโฟน ยังต้องมีการต่อรองกับซัมซุงฝ่ายผู้ผลิตแรมว่าให้ทำสัญญาสั่งซื้อกันทีละไตรมาส เพราะของไม่พอในระดับที่จะเซ็นสัญญากันในระยะยาวสิ่งเหล่านี้เลยเป็นที่มาของสถานการณ์ “ความต้องการ” มากกว่า “ปริมาณสินค้า” และทำให้ราคาของแรมในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและยังไม่มีท่าทีจะหยุดง่ายๆ ซึ่งสุดท้ายแล้วจะไม่ใช่แค่ผู้ที่อยากซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ที่จะได้รับผลกระทบ แต่ยังรวมไปถึงการซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆในอนาคต โดยเฉพาะ “โทรศัพท์มือถือ–สมาร์ทโฟน” ที่จำเป็นต้องใช้หน่วยความจำแรม ทางบริษัทผู้ผลิตมือถือสัญชาติจีนอย่างเสี่ยวหมี่ (Xiaomi) และเรียลมี (Realme) เริ่มส่งสัญญาณเตือนว่า หากราคาแรมยังเป็นเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต มือถือระดับกลาง-ระดับล่าง จะขายในราคาเดิมต่อไปไม่ได้ เนื่องจากปกติก็กำไรบางอยู่แล้วและสุดท้ายนักวิเคราะห์ตลาดในสหรัฐฯประเมินเรื่องนี้ว่า ปัญหาการผลิตของป้อนตลาดไม่ทันจะยังวนเวียนอยู่ไปจนจบครึ่งแรกของปี 2569 แต่หากมองในกรณีเลวร้ายคือปัญหาจะรุมเร้าไปจนถึงสิ้นปี 2570 เลยทีเดียว เพราะการขยายโรงงานผลิตเพื่อป้อนสินค้าแก่ผู้บริโภคทั่วไปไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในเวลาอันสั้น ใช้เวลากันหลายปี สรุปได้ว่าเราอาจต้องเจอของแพงกันไปยาวๆ ไม่เฉพาะแรมแต่อาจรวมถึงมือถือ แล็ปท็อป ที่อาจมีการปรับราคาขึ้นกันในอนาคต.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม