พูดถึง “ปีศาจ” หรือ “DEMON” ใครๆก็มองว่าเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่ให้โทษ ตรงข้ามกับ “เทวดา” ซึ่งเป็นวิญญาณฝ่ายดีที่ให้คุณ เจาะลึกจากบันทึกประวัติศาสตร์ก็ต้องทึ่ง เพราะแท้จริงแล้วทุกสิ่งที่มีความเป็นปีศาจ คือส่วนผสมระหว่างเทพและมนุษย์เดินดิน เจือสมกันทั้งความดีงามและความชั่วร้ายผู้คนในยุคแรกสุดที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์พากันกล่าวโทษสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง เช่น ปีศาจ และอสุรกาย ว่าเป็นสาเหตุของความน่าสะพรึงกลัวในธรรมชาติ เช่น พายุ และโรคภัย เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าปีศาจก็ถูกตั้งชื่อตามลักษณะเด่น โดยรูปลักษณ์ของปีศาจส่วนใหญ่มักอัปลักษณ์ หรือเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ในยุคโบราณกาล “ปีศาจ” ไม่ได้ถูกมองว่ามีความชั่วร้ายโดยสันดาน “ยุคเมโสโปเตเมียโบราณ” ปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดอย่าง “กอลลา” ซึ่งเป็นผู้ส่งสารของ “เอเรชคีกัล” มีหน้าที่ดึงดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ที่ไม่เต็มใจตายให้ลงไปสู่โลกใต้พิภพ ภายนอกอาจดูน่าสยดสยอง ทว่าเนื้อในแล้วถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดเรียงตามธรรมชาติแห่งสรรพสิ่ง และอาจป้องกันได้ด้วยคาถา หรือเครื่องรางที่เหมาะสมโลกใต้พิภพยังมี “ลามาชตู” เทพปีศาจที่มีหัวเป็นสิงโตฟันแบบลา และหัตถ์เปื้อนเลือด คอยล่าหญิงตั้งครรภ์ เด็กแรกเกิด และทารกมาเป็นเหยื่อ ขณะที่ “พาซูซู” เจ้าแห่งปีศาจวายุผู้มีปีกนกเป็นเอกลักษณ์ มีอานุภาพทั้งการทำลายล้าง และขับไล่ปีศาจตนอื่นๆเพื่อปกป้องคุ้มครองภัยบ่อยครั้งชาวเมโสโปเตเมียโบราณกล่าวโทษความเจ็บป่วย เช่น อาการปวดศีรษะ หรือลมชัก ว่ามาจากการเข้าสิงของปีศาจ แต่โรคภัยเหล่านี้ก็ถูกมองว่าเป็นการแสดงฤทธิ์ของ “กิดิม” หรือ “เอเทมมู” ที่ “เอเรช คีกัล” อนุญาตให้กลับสู่บ้านเรือนในอดีตของตนที่ดินแดนแห่งผู้มีชีวิต วิญญาณเหล่านี้จะมาในรูปของภูตผี เพื่อแก้ไขความผิดพลาดบางอย่างที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในชีวิต หรือเพราะพิธีกรรมฝังศพมีข้อผิดพลาด หรือไม่มีการสังเวยอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันการหลอกหลอนของวิญญาณ และอิทธิพลอันเป็นโทษของปีศาจ ชาวเมโสโปเตเมียพากันพกเครื่องรางที่สลักเป็นรูปสุนัข เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ปีศาจและภูตผีวิญญาณหวาดกลัว บ้างก็พกเครื่องรางที่มีรูปของ “พาซูซู” เพื่อขับไล่ปีศาจตนอื่นๆ ชาวเมโสโปเตเมียยังใช้ขี้ผึ้งเวทมนตร์และปมชนิดพิเศษ เพื่อจำกัดการหลอกหลอนของวิญญาณ และทำให้วิญญาณเหล่านี้ไร้พลังถ้าเครื่องรางและวิธีการอื่นๆไม่สามารถป้องกันความเจ็บป่วย อาจมีการปรึกษา “อะสิพู” ผู้ขับไล่วิญญาณ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง โดย “อะสิพู” จะมาพร้อมมนตร์ต่างๆ เช่น คาถาถึงกุลา เทพีแห่งสุขภาพ เพื่อขับไล่วิญญาณที่เลวร้าย ส่วนวิธีการไล่ปีศาจขั้นสุดคือ การสร้างรูปลักษณ์ของผู้ป่วย ประพรมรูปลักษณ์นั้นด้วยเครื่องหอม และสังเวยรูปลักษณ์นั้นด้วยเค้กที่อบในขี้เถ้า เพื่อปลุกฟื้นคืนชีพ และเยียวยาผู้ป่วย ถ้าผู้ขับไล่วิญญาณรู้อัตลักษณ์ของภูตผี พวกเขาอาจสร้างรูปลักษณ์ของวิญญาณดังกล่าว แล้วเขียนชื่อบนรูปลักษณ์ และวางฟันสุนัขที่ปากของรูปลักษณ์ เพื่อสะกดภูตผีมิให้เคลื่อนที่เร่ร่อนไปไหนได้ จากนั้นจึงส่งตัวกลับสู่ดินแดนปีศาจแบบไม่มีวันหวนคืนไปดูที่ “อียิปต์โบราณ” ยกให้ปีศาจเพศหญิงที่กลืนกินดวงวิญญาณผู้วายชนม์อย่าง “อัมมุต” เป็นปีศาจตัวร้าย ขณะที่ “มหากาพย์ฮินดูยุคโบราณ” ถือว่า “ทศกัณฐ์” คือราชันแห่งปีศาจ เป็นบุคลาธิฐานของอำนาจอันป่าเถื่อน และกิเลสตัณหาที่ปราศจากการควบคุมอย่างไรก็ดี เมื่อศาสนาแบบพหุเทวนิยมมีพัฒนาการ หลายประเทศได้ผนวกความเชื่อในปีศาจ ซึ่งมีทั้งความดีและความเลว “กรีซโบราณ” เชื่อว่า “อากาทอสไดมอน” เป็นเพียงวิญญาณแห่งธรรมชาติอันดี ผู้สามารถทำหน้าที่เป็นคู่หูส่วนบุคคล รับประกันถึงสุขภาพและโชคดีได้ “คติของชาวญี่ปุ่น” ได้ผนวกขอบเขตอันกว้างขวางของปีศาจด้วยจินตนาการสดใหม่ เช่น “โอนิ” คือปีศาจผู้ซุ่มซ่อนตามป่าและกินเนื้อของนักเดินทาง หรือ “กาชาโดคุโระ” เป็นปีศาจโครงกระดูกผู้บดขยี้มนุษย์ถึงชีวิต“ชาวยิว” มักเชื่อมโยงปีศาจเข้ากับเทวะของเพแกนและศาสตร์เหนือธรรมชาติ กระนั้น เมื่อเวลาผ่านไปปีศาจได้ถูกโยงเข้ากับเทวดาตกสวรรค์ และผู้ก่อกบฏต่อพระเจ้า โดยปีศาจเหล่านี้จะมี “ซาตาน” เป็นผู้นำ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายและแรงยั่วยวนให้ทำบาป“แฟรงเกนสไตน์” ตัวละครปีศาจโด่งดังจากนิยายแบบกอทิกในยุคศตวรรษที่ 18 และ 19 คือภาพสะท้อนได้ดีถึงความหมายแท้จริงของ “เพลโต” ที่กล่าวไว้เมื่อ 385 ปีก่อนคริสตกาลว่า ทุกสิ่งที่มีความเป็นปีศาจ อยู่ระหว่างเทพและมนุษย์เดินดิน มีทั้งความดีงามและความชั่วร้ายปะปนกัน.มิสแซฟไฟร์คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม