สัปดาห์ที่ผ่านมา เซเลนสกีได้รับร่างแผนสันติภาพ 28 ข้อจากสหรัฐฯ เอกสารฉบับนี้ถูกวิเคราะห์ว่าอาจเป็นโรดแม็ปเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-อูเครนร่างแผนสันติภาพ 28 ข้อ มีข้อเสนอให้อูเครนมอบดินแดนภาคตะวันออกให้รัสเซีย ต้องงดใช้หรือปลดอาวุธประเภทที่โจมตีได้จากระยะไกล จำกัดความช่วยเหลือทางการทหารจากชาติตะวันตก ห้ามตะวันตกมีฐานทัพหรือมีทหารประจำการอยู่ในอูเครน มีถึงขนาดมีข้อที่จำกัดขนาดของกองทัพอูเครนข้อเสนอทางภาษาหรือวัฒนธรรมถูกบรรจุลงในแผนด้วย เช่น อูเครนต้องให้สถานะพิเศษแก่ภาษารัสเซียในบางพื้นที่ต้องอนุญาตให้ศาสนจักรรัสเซียมีสถานะ (ได้รับการรับรอง) ในอูเครนเรียนก่อนนะครับว่า ปัจจุบัน ‘ยังไม่มีการเปิดเผยเอกสารฉบับเต็ม’ ว่า 28 ข้อมีอะไรบ้าง ข้อมูลที่สื่อโลกนำมาเขียนกันเป็นเพียงร่างลอยที่ยังไม่ได้มีการเจรจาระหว่างรัสเซียและอูเครน ยังไม่ใช่แผนสันติภาพของจริงสหรัฐฯ และหลายประเทศนาโตยุโรปมองว่า แม้จะ ‘ยังไม่แพ้’ แต่สถานการณ์ใน ค.ศ.2025 ของอูเครนอยู่ในสถานะเสียเปรียบทางการรบ กำลังพลลดลงมาก ประชาชนอูเครนต่อต้านการเกณฑ์ทหาร ขาดแคลนขีปนาวุธและกระสุน ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯและยุโรปล่าช้า โรงงานในอูเครนถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องจนพังพาบ ทำให้การผลิตกระสุนและอุปกรณ์อื่นๆ ที่ยุโรปเข้าไปช่วยเหลือต้องถูกระเบิดลงหลายคนวิเคราะห์ว่าตั้งแต่รัสเซียใช้โดรนและบอมบ์ร่อนที่ระบบป้องกันที่สหรัฐฯและนาโตป้องกันไม่ได้ อูเครนจะแพ้ค่อนข้างแน่ บอมบ์ร่อนที่มีชุดปีกที่แก้ไขทิศทางได้ถูกปล่อยให้ร่อนจากระยะไกลพุ่งมาชนและเกิดระเบิดอย่างรุนแรงกว่าขีปนาวุธทั่วไป บอมบ์ร่อนเป็นอาวุธที่รัสเซียผลิตได้เยอะด้วยต้นทุนถูกอย่างระเบิดร่อนรุ่น FAB-500 หรือ FAB-1,500 (หนัก 1.5 ตัน) หลายครั้งรัสเซียใช้บอมบ์ร่อนหนัก 3 ตันถล่มแนวป้องกันของอูเครน หลังจากนั้นก็ใช้ทหารภาคพื้นดินบุกหลายท่านอาจจะสงสัยเรื่องข้อเสนอทางภาษา และวัฒนธรรมว่ามาอยู่ในแผนสันติภาพ (ที่สหรัฐฯร่าง) ได้ยังไง ขอตอบว่าพื้นที่อูเครนหลายแห่งเป็นแผ่นดินที่รัสเซียให้อูเครนในสมัยที่ยังอยู่ร่วมสหภาพโซเวียตด้วยกัน เช่น ให้ไครเมียเมื่อ ค.ศ.1954 เพื่อฉลองความสัมพันธ์รัสเซีย-อูเครน 300 ปี ในยุคโซเวียต มีการปรับ พื้นที่ภายในหลายครั้ง ทำให้พื้นที่ดอนบาสส์ของรัสเซียไปเป็นพื้นที่ของอูเครนขณะแยกประเทศ ค.ศ.1991 ชาวรัสเซียหรือชาวอูเครนเชื้อสายรัสเซียยังคงค้างอยู่ในอูเครนประมาณร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมดหลังจากเกิดลัทธินาซีใหม่ทำร้ายเข่นฆ่าข่มขืน ทำให้รัสเซียไม่พอใจ เตือนอูเครนไปหลายครั้งเรื่องให้ปกป้องดูแลชาวรัสเซียในอูเครนเมื่ออูเครนแก้ไขปัญหาไม่ได้ ค.ศ.2014 รัสเซียจึงผนวกไครเมีย หลังจากนั้น อูเครนก็ยกเลิกกฎหมายที่เคยให้ภาษารัสเซียเป็นภาษาถิ่นอย่างเป็นทางการในบางมณฑล และพอถึง ค.ศ.2019 อูเครนก็ออกพระราชบัญญัติให้ภาษาอูเครนเป็นภาษาหลักทางราชการเพียงภาษาเดียวอูเครนมองภาษาและวัฒนธรรม (รวมถึงศาสนา) ในมิติความมั่นคงของชาติ แต่รัสเซียมองเป็นการกลั่นแกล้งชาวอูเครนเชื้อชาติรัสเซีย โดยเฉพาะเรื่องศาสนานี่แรง เพราะก่อนที่จะเกิดความขัดแย้ง โบสถ์ในอูเครนจำนวนไม่น้อยขึ้นอยู่กับ ‘ศาสนจักรออร์ทอดอกซ์รัสเซีย’ ที่มีสังฆราชแห่งมอสโกและทั่วรัสเซียเป็นประมุขภายหลังรัฐบาลอูเครนถอนสิทธิ์การใช้อาคารของโบสถ์สายมอสโก ทำให้นักบวชสายมอสโกต้องออกจากอูเครน รัฐบาลอูเครนหันไปส่งเสริมโบสถ์คริสต์ออร์ทอดอกซ์ที่ไม่ได้ขึ้นกับศาสนจักรมอสโก ตั้งสมเด็จพระสังฆราชแห่งคีฟและทั่วอูเครนให้มีบทบาทแทน ประชาชนเชื้อสายรัสเซียไม่มีที่พึ่งทางจิตใจนี่คือเหตุผลว่าทำไมเรื่องภาษาและวัฒนธรรม (รวมถึงศาสนา) จึงไปอยู่ในแผนสันติภาพ ซึ่งขอเรียนนะครับ ว่าตอนนี้เป็นเพียงร่าง ก่อนที่จะตกลงก็จะต้องมีการเจรจาต่อรองอะไรอีกมาก บางข้อตัดทิ้ง บางข้อยังคงไว้. นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม