ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) กระทบงานของมนุษย์มากขึ้น แม้ไม่ได้ทำให้คนตกงานอย่างฉับพลันทันที ทว่าเอไอค่อยๆเปลี่ยนรูปแบบของงานจนมนุษย์จำนวนไม่น้อยตกงาน โดยเฉพาะงานเอกสาร ป้อนข้อมูล แปล โรงงานสายพาน หรือบัญชีขั้นพื้นฐาน บริษัทที่เคยใช้พนักงาน 10 คน ลดพนักงานเหลือเพียง 1 คนเพื่อทำหน้าที่ป้อนคำสั่งให้เอไอที่เราเรียกว่า AI prompting หรือ AI commandสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) รายงานเมื่อสิงหาคม 2025 ว่าคนอเมริกันอายุ 16 ปีขึ้นไปที่มีงานทำอยู่ 163.4 ล้าน โดนบริษัทปลดเพราะเอไอเข้ามาทดแทนจำนวน ‘หลักแสนคน’ ทุกเดือนบริษัทข้อมูลการเงิน ข่าวเศรษฐกิจ และแพลตฟอร์มวิเคราะห์การลงทุน ‘บลูมเบิร์ก’ ยืนยันว่าเฉพาะเดือนตุลาคม 2025 บริษัทอเมริกันปลดพนักงาน 153,074 ตำแหน่ง ที่โดนปลดส่วนใหญ่เป็นพนักงานด้านเทคโนโลยีและจัดเก็บสินค้าแม้แต่งานในทวีปแอฟริกาและในภูมิภาคตะวันออกกลางก็หายไปเป็นจำนวนมาก เอไอทำให้คนในบางประเทศตกงานเกินร้อยละ 20 การจ้างงานเป็นจากแบบเต็มเวลา เป็น low-hire, low-fire จ้างน้อยลง และให้ออกมากขึ้นขณะเดียวกัน เอไอทำให้มนุษย์มีงานใหม่เพิ่มขึ้นใน ‘งานบางประเภท’ เช่น ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบระบบเอไอ คนตรวจสอบข้อมูลและความถูกต้องของเอไอ นักพัฒนาโมเดลภาษา หรือคนที่ทำงานในสายงานเทคโนโลยีหุ่นยนตร์ไซเบอร์สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ให้ข้อมูลว่าคนไทยที่จบสาขาสังคมศาสตร์ การจัดการ นิเทศศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ว่างงานสูง ที่แปลกก็คือ คนที่ยิ่งมีการศึกษาสูง (ปริญญาตรีขึ้นไป) ยิ่งมีโอกาสตกงานมากกว่าคนที่มีการศึกษาน้อย จากการเก็บตัวเลขในไทยของสถาบันแห่งหนึ่งพบว่า ในไตรมาสแรกของ ค.ศ.2025 ร้อยละ 20 ของผู้ว่างงาน เป็นพวกมีการศึกษาสูงหลักสูตรมหาวิทยาลัยภูมิภาคของไทยหลายแห่งเปิดสอนหลักสูตรต้นทุนต่ำ เช่น บริหาร รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และสังคมวิทยา ผลิตมากจนเกิดภาวะบัณฑิตสาขาต้นทุนต่ำล้นตลาด คนจนส่งลูกหลานเรียนก็เพื่อให้มีงานมั่นคงและจะได้พ้นความยากจน แต่ความหวังที่จะพ้นวัฏจักรแห่งความยากจนกลับไม่เป็นความจริง เพราะจบไปแล้ว กลับไม่มีงานทำหลายประเทศมองว่าการว่างงานจากปัญญาประดิษฐ์เป็นวาระแห่งชาติที่ต้องแก้ไขด่วน รัฐบาลเกาหลีใต้เร่งนำคนวัยทำงานมาเรียนเพิ่มเติมทางด้าน K-Digital Training สอน Coding, AI, Data รวมทั้งสร้างวิทยาลัยอาชีพสายปัญญาประดิษฐ์เพิ่มขึ้นเยอรมนีมีนโยบายเคิร์ซอาไบท์ เพื่อป้องกันการว่างงานเมื่อเศรษฐกิจมีปัญหา หรือเมื่อเอไอและเทคโนโลยีทำให้จำนวนงานลดลง ด้วยการลดเวลาทำงานให้น้อยลง โดยรัฐบาลชดเชยร้อยละ 60 ของรายได้ที่หายไปให้กับคนที่ไม่มีครอบครัว ร้อยละ 67 สำหรับคนมีลูก และร้อยละ 80–87 ในสถานการณ์รุนแรง เคิร์ซอาไบท์ทำให้ทุกคนยังคงมีสถานะพนักงาน รัฐบาลให้บริษัทเก็บพนักงานไว้ ไม่ต้องไปหางานใหม่ และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นก็ให้กลับมาทำงานเหมือนเดิมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ให้ข้อมูลว่าแรงงานหญิงและแรงงานอายุน้อยในสิงคโปร์เสี่ยงต่อการถูกเอไอและระบบอัตโนมัติเข้ามาทำงานแทนที่ รัฐบาลสิงคโปร์จึงสร้างโครงการ SkillsFuture เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ โดยเฉพาะทางด้านงานที่ยังพอมีให้ทำในยุคเอไอ เพื่อเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงบริษัทไทยบางแห่งเริ่มนำเอไอมาใช้และปลดพนักงาน ในไม่ช้าปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของไทยจะตามมารุนแรง รัฐบาลไทยควรสร้างนโยบายที่เปลี่ยนบทบาทแรงงาน เพื่อไม่ให้บริษัทตัดคนทิ้ง รัฐบาลต้องเข้ามาสนับสนุนและชดเชยเอกชนที่ใช้เอไอ ภายใต้เงื่อนไขห้ามปลดคนออกจำนวนมากรัฐบาลต้องเร่งอบรมทักษะใหม่ให้ประชาชน และควรออกกฎหมายให้บริษัทต้องแจ้งพนักงาน ‘ล่วงหน้า’ ก่อนที่จะใช้ไอเอเข้าไปแทนที่ นอกจากนั้น ยังต้องทำคล้ายกับสิงคโปร์คือให้มีโครงการ SkillsFuture แบบไทยๆทั่วประเทศควรตั้งกองทุน Upskill และ Reskill แรงงานไทย การ Upskill ก็เพื่อยกระดับความสามารถเดิมให้ทำงานได้ดีขึ้นในสายงานเดิม การ Reskill ก็เพื่อเรียนทักษะใหม่ เพื่อไปทำงานใหม่ โดยส่วนหนึ่งเน้นสอนแรงงานเสี่ยงถูกแทนที่ด้วยเอไอ นอกจากนั้น ควรปฏิรูปอาชีวะและมหาวิทยาลัยภูมิภาคให้เป็น AI & Digital Vocational Hub.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม