กลายเป็นประเด็นร้อนในสัปดาห์ หลังจากสำนักข่าวรอยเตอร์เปิดโปงภาพหลังฉาก ตอบคำถามว่าวงการ “สแกมเมอร์” ทำไมถึงยืนหยัดอยู่ได้ ทั้งที่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคมไปทุกหย่อมหญ้าเพราะสุดท้ายแล้วมันก็กลายเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปรวมถึงหน่วยงานรัฐรับรู้กันดีถึงองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดปัญหา แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ ตราบใดที่คนเรายังคงพึ่งพา “โซเชียลมีเดีย” ของเหล่าบริษัทเทคโนโลยี ในการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันรายงานเชิงสืบสวนของรอยเตอร์ครั้งนี้ ชี้เป้าให้เห็นอย่างชัดเจนเรื่องการสมประโยชน์ระหว่างบริษัทเทคโนโลยีและวงการสแกมเมอร์ อ้างอิงจากเอกสารภายในระหว่างปี 2564-2568 ของบริษัทยักษ์ใหญ่ Meta ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม วอทส์แอพที่ทุกคนทั่วโลกคุ้นชินสรุปอย่างสั้นๆคือน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า วงการสแกมเมอร์ใช้ช่องทางยิง “โฆษณา” ของเมตาในการต้มตุ๋นหลอกลวงชาวบ้านให้หมดเนื้อหมดตัว ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีก็กวาดรายได้อย่างถล่มทลายจากการ “เก็บเงินค่ายิงโฆษณา scam ads” อยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 224,000 ล้านบาทต่อปีถามว่าเมตารับรู้หรือไม่ว่าตัวเองเป็น “ช่องทาง” ให้พวกสแกมเมอร์มาใช้ประโยชน์ คำตอบคือรับรู้ชัดเจนแต่เลือกที่จะ “ไม่ทำอะไร” เอกสารฉบับหนึ่งเมื่อเดือน ต.ค.2567 ระบุไว้ว่า หลังจากทางบริษัทได้รับแรงกดดันอย่างหนักให้ควบคุมการแพร่ระบาดของพวกต้มตุ๋น ทางทีมกรรมการบริษัทจึงได้เสนอแผนแก่ “มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก” ที่เรียกว่า การดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยเป็นหลักการพิจารณาการปราบสแกมเมอร์ที่ดูจากว่า “ประเทศนั้นๆกำลังจะออกกฎหมายมาควบคุมโซเชียลมีเดียที่ย่อมส่งผลกระทบต่อบริษัทหรือไม่ หากประเทศนั้นๆยังไม่มีท่าที ก็ไม่ต้องรีบดำเนินการแต่อย่างใด”และหลังจากการประชุมครั้งนั้น ทางผู้บริหารฝ่ายที่ดูแลรับผิดชอบได้ให้ทิศทางแก่ทีมงานว่า กรณีที่ทางบริษัทมีรายได้โฆษณาไม่ว่าจากสแกมเมอร์ โฆษณาพนันผิดกฎหมาย โฆษณาขายของผิดกฎหมาย คิดเป็น 10% จากรายได้โฆษณาทั้งหมดนั้น (ประมาณ 16,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 512,000 ล้านบาท) ควรมีการควบคุมให้ลดเหลือ 7.3% ในปี 2568 ก่อนลดลงเหลือ 6% ในปี 2569 จนเหลือ 5.8% ในปี 2570 ตามลำดับอย่างไรก็ตาม เอกสารภายในเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ส่งถึงทีมงานที่รับผิดชอบเรื่องการตรวจสอบและควบคุมโฆษณาจากสแกมเมอร์ กลับระบุว่าการดำเนินการใดๆเพื่อปราบปรามสแกมเมอร์ จะต้องไม่กระทบต่อรายได้ของบริษัทเกิน 0.15% ซึ่งหากเทียบกับรายได้ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่มีมูลค่าประมาณ 90,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.88 ล้านล้านบาท ก็เท่ากับว่า ทีมงานที่รับผิดชอบเรื่องควบคุมโฆษณาสแกมเมอร์ห้ามทำให้บริษัทรายได้หายเกิน 135 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 4,320 ล้านบาทนอกจากนี้ การควบคุมจัดการบัญชีที่เข้าข่ายว่าเป็นสแกมเมอร์ยังบ่งชี้ให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติ โดยในเอกสารช่วงปี 2565 ทางเมตารับรู้ถึงการแพร่ระบาดของเครือข่ายบัญชีต้มตุ๋นรายได้หกหลัก ที่อ้างตัวเป็นทหารสหรัฐฯที่ประจำการอยู่ในพื้นที่การรบ และหลอกลวงวัยรุ่นให้หลงชื่นชอบเพื่อขอรูปวาบหวิว ก่อนนำไปแบล็กเมล์ไถเงิน แต่เรื่องนี้ทางบริษัทมองว่า เป็นปัญหาที่มี “ความร้ายแรงระดับต่ำ” ควรใช้คำว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีสำหรับผู้ใช้งาน และให้ทีมตรวจสอบมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาบัญชีหลอกลวงที่อ้างตัวเป็นดารานักแสดง หรืออ้างตัวเป็นแบรนด์สินค้ามีชื่อเสียง เนื่องด้วยอาจกระทบต่อค่าโฆษณาจากแบรนด์สินค้าหรือดาราตัวจริงแต่ทีมงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ถูกเลย์-ออฟ โละพนักงานไปในปี 2566 เหตุผลคือบริษัทต้องการพัฒนาระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์เอไอ ให้เหลือหน่วยงานดูแลเพียงในนาม ทิ้งไว้เป็นโครง เพื่อให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้ปล่อยปละละเลย ซึ่งในปีนั้นเอง ข้อมูลจากฝ่ายความปลอดภัยของเมตาระบุว่า ในทุกๆสัปดาห์จะมีผู้ใช้แจ้งข้อมูลบัญชีหลอกลวงอย่างชัดเจนกว่า 100,000 ครั้ง แต่ทางเมตาปฏิเสธรับเรื่องกว่า 96%จนนำไปสู่กระบวนการอัลกอริทึมใหม่ที่ถูกออกแบบมาว่า ระบบอัตโนมัติจะต้องมั่นใจเสียก่อนว่าบัญชีหรือเพจผู้ใช้งานมีความเข้าข่ายว่าเป็นพวกสแกมเมอร์ถึง 95% ถึงจะค่อยดำเนินการจัดการ แต่เรื่องนี้ยังมีรายละเอียดมาทับซ้อนอีกว่า หากบัญชีเข้าข่ายนั้นๆทำรายได้สูงให้แก่เมตา ก็จะมาดูกันเรื่องละเมิดกฎการใช้งานมากน้อยเพียงใด จากปกติละเมิด 4 ครั้ง ระงับบัญชี อาจกลายเป็นละเมิดกฎ 500 ครั้ง ถึงค่อยระงับบัญชีแน่นอนว่าข้อมูลที่ถูกนำมาตีแผ่เหล่านี้ ทางโฆษกของบริษัทออกมาชี้แจงถึงเรื่องราวทั้งหมดว่า เป็นตัวเลขหยาบๆและไม่ครอบคลุม ตลอดปีนี้เราได้จัดการบัญชีหลอกลวงไปแล้วกว่า 134 ล้านบัญชี เรามีเป้าหมายแล้วเรื่องการปราบปรามโฆษณาสแกมเมอร์ ซึ่งสินค้าและบริการบางประเภทเราตั้งใจจะลดการหลอกลวงให้ได้ถึง 50% แต่สุดท้ายจะถือเป็นคำกล่าวที่เชื่อถือได้หรือไม่เพราะเป็นเรื่องของเงินทอง และประธานซักเกอร์เบิร์กได้ประกาศทิศทางของเมตาว่าจะทุ่มเงิน 72,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2.3 ล้านล้านบาทภายในปีนี้ เพื่อแข่งขันการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์เอไอเมื่อเหล่านักลงทุนแสดงความกังวลว่านี่เป็นการใช้เงินก้อนโตลงทุนมหาศาล จะมั่นใจได้แค่ไหนในเรื่องความเสี่ยง ทางซักเกอร์เบิร์กย้ำชัดว่าไม่ต้องห่วง “เงินจากค่าโฆษณา” เรามีมากพอที่จะนำมาใช้ดำเนินการ. วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม