“วัดไชยมังคลาราม” วัดพุทธเก่าแก่ตั้งตระหง่านกลางเมืองจอร์จทาวน์ รัฐปีนัง มาเลเซีย เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยและชาวมาเลเซียเชื้อสายสยามมายาวนานเกือบ 2 ศตวรรษจนเป็นหนึ่งในจุดหมายของกระทรวงการต่างประเทศอัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาทอดถวายเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมาพิธีอันศักดิ์สิทธิ์และงดงามนี้ มิได้เป็นเพียงการสืบทอดประเพณีทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น หากยังสะท้อนสายใยแห่งมิตรภาพระหว่างประเทศที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผ่านแนวทาง “การทูตวัฒนธรรม”โครงการเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวาย ณ วัดพุทธต่างแดน เริ่มต้นเมื่อปี 2538 ตามแนวคิดของนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รมว.ต่างประเทศในขณะนั้น หวังผลักดันสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและเผยแพร่พระเกียรติคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว กัมพูชา และเมียนมา ก่อนขยายไปยังประเทศอื่นในเอเชีย โดยในปี 2568 นี้ กระทรวงการต่างประเทศได้อัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวายใน 8 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย, เมียนมา, มาเลเซีย, ภูฏาน, ศรีลังกา, ลาว, เวียดนาม และจีน และกลับมาจัดพิธีที่วัดไชยมังคลาราม เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี นับแต่เคยจัดพิธีในมาเลเซียทั้งที่ปีนัง โกตาบารู และกรุงกัวลาลัมเปอร์นางศิริลักษณ์ นิยม รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ผู้เป็นประธานในพิธีทอดผ้าพระกฐินพระราชทานในครั้งนี้ ได้กล่าวถึงความสำคัญของโครงการว่า “การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นมีหลายมิติ แต่สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น คือความสัมพันธ์ในระดับประชาชนกับประชาชน เพราะเมื่อผู้คนรู้จักเข้าใจกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ด้านอื่นๆก็จะงอกงามตามมาอย่างมั่นคง”ทั้งนี้ วัดไชยมังคลาราม วัดเก่าแก่ก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อปี 2388 เดิมชื่อ “วัดปูเลาติกุส” ก่อนได้รับพระราชทานนามใหม่เป็น “วัดไชยมังคลาราม” ในปี 2491 ตลอดเวลาที่ผ่านมา วัดแห่งนี้มีความผูกพันกับราชวงศ์ไทยและรัฐบาลไทยมาอย่างยาวนาน นับแต่การเสด็จฯ เยือนของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระบรมราช ชนนีพันปีหลวง เพื่อประกอบพิธีเบิกพระเนตร “พระพุทธชัยมงคล” พระพุทธไสยาสน์ขนาดยาว 33 เมตร เมื่อปี 2505 วัดแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่พระบรมวงศานุวงศ์และอดีตผู้นำของไทยและมาเลเซียแวะเวียนมาเยือนอยู่เสมอ กระทั่งกระทรวงวัฒนธรรมมาเลเซียได้ขึ้นทะเบียนวัดไชยมังคลารามนี้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางวัฒนธรรมแห่งชาติในปี 2563 จากคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศาสนา และศิลปวัฒนธรรมถือเป็น ศูนย์รวมจิตใจ ของชาวมาเลเซียเชื้อสายสยามที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมไทยไว้อย่างงดงาม ทั้งการเรียนภาษาไทย รำไทย นอกเหนือไปจากการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีกรุ๊ปทัวร์จากทั้งชาติตะวันตก ญี่ปุ่น และทัวร์ไทยมาเยี่ยมชมไม่ขาดสายสำหรับพิธีทอดผ้าพระกฐินพระราชทานในครั้งนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้า เมื่อได้เวลาอันเป็นมงคล นางศิริลักษณ์ นิยม รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ประธานในพิธี ได้ถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อนประคองผ้าพระกฐินเดินแห่รอบพระอุโบสถ 3 รอบ ท่ามกลางเสียงกลองยาวอันครึกครื้นและการฟ้อนรำของนางรำในชุดไทย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายสยาม สร้างบรรยากาศชื่นบาน ก่อนเข้าสู่การทำพิธีทอดผ้าพระกฐินภายในวิหารพระพุทธชัยมงคล โดยมีนายพสุศิษฏ์ วงศ์สุรวัฒน์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองปีนัง พร้อมเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ พุทธศาสนิกชนชาวไทยและมาเลเซีย รวมถึงแขกผู้มีเกียรติฝ่ายมาเลเซียเข้าร่วมอย่างหนาตา ขณะที่ พระครูวินัยธร ธัมฺมธโช เจ้าอาวาสชาวมาเลเซียเชื้อสายสยาม อายุ 82 พรรษา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ การเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานครั้งนี้สามารถรวบรวมเงินบริจาค ประกอบไปด้วยเงินบำรุงพระอารามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลจากกระทรวงการต่างประเทศ และผู้มีจิตศรัทธาทั้งชาวไทยและชาวมาเลเซีย รวมทั้งสิ้น 1,028,000 บาท หรือ 234,241.06 ริงกิต เพื่อใช้ในการทำนุบำรุงวัดไชยมังคลารามต่อไปหลังเสร็จสิ้นพิธี นางศิริลักษณ์เผยกับทีมข่าวต่างประเทศ “รู้สึกดีใจที่ได้เห็นความต่อเนื่องของโครงการนี้ดำเนินมายาวนานถึง 30 ปี แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จและการตอบรับที่ดีจากประเทศที่ได้รับผ้าพระกฐินไปถวาย สะท้อนถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาและความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่มีร่วมกันในหมู่ประชาชนชาวไทยและประชาชนในประเทศผู้รับ นำมาซึ่งสัมพันธไมตรีและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันอย่างแท้จริง”พิสูจน์ว่าเป็นโครงที่ดีจริงและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างชาวพุทธข้ามพรมแดน พิธีทอดผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดไชยมังคลาราม รัฐปีนัง ในปี 2568 จึงเป็นมากกว่าพิธีทางศาสนา เป็น “สะพานบุญแห่งศรัทธา” เชื่อมโยงสอง ประเทศเข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้ง ผ่านรากฐานทางวัฒนธรรม ประเพณี และจิตวิญญาณ ภาพแห่งความร่วมมือเป็นเครื่องยืนยันว่าการทูตที่เน้นมิติประชาชนสู่ประชาชนนั้น เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเข้าใจและมิตรภาพที่ยั่งยืนระหว่างไทยและมาเลเซียสืบไป.อมรดา พงศ์อุทัยคลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม