ในขณะที่ซีกโลกตะวันออกกำลังอยู่ในสภาวะตึงเครียดจากสถานการณ์ความขัดแย้งจุดต่างๆ ทั้งในยูเครน ฉนวนกาซา หรือกระทั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง “ไทย–กัมพูชา” ที่ความไม่แน่ไม่นอนดูเหมือนจะหวนกลับมาอีกครั้งด้านซีกโลกตะวันตกก็เริ่มมีเค้าลางไม่ดีแล้ว หลังรัฐบาลสหรัฐ อเมริกาของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แสดงท่าทีผิดปกติทางความมั่นคง สั่งเคลื่อนกองทัพสู่ทะเลแคริบเบียน มีจุดรวมพลที่เกาะเปอร์โตริโก ดินแดนอาณานิคมของพญาอินทรี ห่างจากตอนเหนือของประเทศ “เวเนซุเอลา” ไปประมาณ 800 กิโลเมตรโดยเป็นผลพวงจากช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ที่ผู้นำสหรัฐฯหันมาจับกระแส “ปัญหายาเสพติดและแก๊งอาชญากรรมเวเนซุเอลา” อย่างหนักหน่วง ให้เหตุผลว่าเป็นตัวบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของสังคมอเมริกัน สมควรจะต้องจัดการให้เสร็จสิ้น จนนำไปสู่คำสั่งใช้อาวุธสงคราม จมเรือของเวเนซุเอลาที่ต้องสงสัยว่าลักลอบบรรทุกสมาชิกขบวนการทมิฬ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 17 ศพ หรือมากกว่านั้นจนมีการตั้งข้อสงสัยว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะลงเอยแบบในอดีตหรือไม่ ที่สหรัฐฯกล่าวหาประเทศหนึ่งว่ามีอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงในครอบครอง จำเป็นต้องเข้าไปปราบปราม เปลี่ยนแปลงรัฐบาลพอมาวันนี้ใช้เหตุผลลักษณะเดียวกัน ใช้เหตุผลยาเสพติดและกลุ่มมาเฟียผิดกฎหมาย จะปล่อยไว้ไม่ได้ ทั้งที่หากอ้างอิงจากข้อมูลของ สำนักงานปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติสหรัฐฯ (DEA) ยังคงเขียนไว้ดังเดิมว่า ยาเสพติดอย่างโคเคนที่เข้ามาในสหรัฐฯนั้น จำนวนกว่า 93% มีต้นตอมาจากโคลอมเบีย ไม่ใช่เวเนซุเอลา และการลักลอบขนเข้าสหรัฐฯมีเส้นทางหลักคือเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโก ไม่ใช่เวเนซุเอลาอยู่ดีแต่แน่นอนตามธรรมชาติของโลก ชาติยักษ์ใหญ่มหาอำนาจย่อมเสียงดัง และเป็นผู้กำหนดเรื่องราวด้วยความชอบธรรม ส่วนชาติที่ตกเป็นเป้าย่อมกลายเป็นคนไม่เข้าพวก และถูกเขียนบทให้เป็นตัวร้ายในท้ายที่สุด จึงไม่แปลกที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประชาคมโลกจะเริ่มเห็นด้วยกับแนวคิด “โลกหลายขั้วอำนาจ” และความเป็นพหุภาคี แต่ประเด็นนี้คงต้องเก็บไว้พูดกันทีหลังเพราะตอนนี้เกมความมั่นคงต่อประเทศเวเนซุเอลาดูเหมือนจะลุกลามไปไกล หนังสือ พิมพ์เดอะนิวยอร์กไทม์ส รายงานอ้างเอกสารภายในของรัฐบาลสหรัฐฯ แจ้งต่อคณะกรรมาธิการชุดต่างๆของสภาคองเกรสเป็นที่เรียบร้อยว่า สหรัฐฯได้ตัดสินใจ “เปิดศึก” ใช้กำลังทางทหารอย่างเป็นทางการ ต่อขบวนการลักลอบขนยา เสพติดในเวเนซุเอลาและภูมิภาคละตินอเมริกา ที่ถูกตีตราโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯว่าเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างชาติ พร้อมอธิบายถึงความชอบธรรมว่าการโจมตีใดๆต่อเป้าจะอยู่ภายใต้กรอบการโจมตีเพื่อป้องกันตนเองสอดรับการรายงานอ้างแหล่งข่าวของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี ที่ระบุว่า แผนปฏิบัติการโจมตีแก๊งอาชญากรรมในดินแดนของเวเนซุเอลาได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สำหรับแผนการที่อยู่ในการหารือพิจารณาเบื้องต้น มีการพูดถึงปฏิบัติการใช้โดรนไร้คน MQ–9 รีพเปอร์ ยิงสังหารแกนนำและสมาชิกของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการทำลายศูนย์การผลิตยาเสพติดในพื้นที่ต่างๆส่วนหนังสือพิมพ์เดอะไฟแนนเชียล ไทม์สของอังกฤษ ชี้เป้าไปไกลถึงขั้นที่ว่า เผลอๆเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับ “น้ำมัน” และบริษัทพลังงานเชฟรอนของสหรัฐฯที่มีสัมปทานอยู่ในเวเนซุเอลา พร้อมโยงไปยังยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของสหรัฐฯที่ต้องการลดการพึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลางภายในปี 2573จะอย่างไรก็แล้วแต่ กำลังของกองทัพสหรัฐฯที่อยู่รอบๆเวเนซุเอลาในตอนนี้ ประกอบไปด้วยกองเรือสำหรับการโจมตีระยะไกล 6 ลำ ซึ่งรวมถึงเรือพิฆาตชั้นอาร์เลห์เบิร์ก ไทคอนดิโรกา เรือดำน้ำจู่โจมชั้นลอสแอนเจลิส ซึ่งทั้งหมดมีอาวุธยาวอย่างจรวดร่อนโทมาฮอว์ครวมกัน 172 ลูก พ่วงด้วยเรือบัญชาการหน่วยสงครามพิเศษ “เอ็มวี โอเชียน เทรดเดอร์” สำหรับการส่งหน่วยรบพิเศษแทรกซึมทางภาคพื้นดินขณะที่ทัพนาวิกโยธิน มีการคอนเฟิร์มเรือยกพลขึ้นบก 3 ลำ คือ ยูเอสเอส อิโวจิมา ยูเอสเอส ซานอันโตนิโอ ยูเอสเอสฟอร์ดลอเดอร์เดล ซึ่งทั้งหมดมีการบรรทุกทหารนาวิก โยธิน หรือ “มารีน” เตรียมไว้อย่างน้อย 3,000 นาย ไม่รวมถึงการส่งฝูงบินมาสแตนด์บายที่ฐานทัพอากาศในเกาะเปอร์โตริโก ในจำนวนนี้รวมถึงฝูงบินจู่โจมที่ 225 “ไวกิ้ง” สังกัดหน่วยนาวิกโยธิน ซึ่งมียุทโธปกรณ์หลักเครื่องบินรบพรางเรดาร์รุ่น F–35B ฝูงบินสนับสนุนที่ 236 “ไก่สายฟ้า” มีอาวุธหลักคือเครื่องบินจู่โจมรุ่นแฮร์ริเออร์ เครื่องบินลำเลียงพลออสเปรย์ เฮลิคอปเตอร์จู่โจมคอบร้า/ไวเปอร์ และฝูงบินสนับสนุนของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่มีเครื่องบินเติมน้ำมันกลางอากาศ และโดรนไร้คน MQ-9 รีพเปอร์สรรพอาวุธและกำลังพลของกองทัพสหรัฐฯที่มารวมตัวในทะเลแคริบเบียน นักวิเคราะห์ความมั่นคงประเมินว่าเพียงพอสำหรับปฏิบัติการทางทหารที่ต้องมีการบุกยึดดินแดน และเพียงพอต่อการเข้ายึดและตรึงกำลังตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศอย่างท่าเรือต่างๆหรือสนามบินนานาชาติเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเวเนซุเอลาได้สั่งการให้กองทัพอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด และเริ่มการเปิดคลังแสงนำอาวุธมาฝึกซ้อมขนานใหญ่กันแล้ว พร้อมเปิดเผยว่าเครื่อง F-35 ของสหรัฐฯเริ่มเข้ามาลาดตระเวนป้วนเปี้ยนใกล้น่านฟ้า อาจจำเป็นต้องประกาศภาวะ ฉุกเฉินทั่วประเทศสักวันใดวันหนึ่งสถานการณ์กำลังทวีความตึงเครียดไปทุกขณะ ขึ้นอยู่กับใจผู้นำทรัมป์ว่าจะตัดสินใจเช่นไร จะกดปุ่มไฟเขียวหาก “ชวด” รางวัลโนเบลสันติภาพหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม