เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานจากสถานีโทรทัศน์ช่องเอ็นบีซีอ้างแหล่งข่าวในรัฐบาลสหรัฐฯว่า ฝ่ายกลาโหมเพนตากอนมีแผนการใช้กำลังทางทหารโจมตีประเทศ “เวเนซุเอลา”โดยเป็นผลต่อเนื่องจากช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศจุดยืนว่าต้องการสกัดกั้นการลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาในสหรัฐฯ และการส่งแก๊งอาชญากรรมเข้ามาสร้างความวุ่นวายในสังคมอเมริกัน พร้อมส่งกองเรือสหรัฐฯไปยังทะเลแคริบเบียน ไม่ไกลจากน่านน้ำเวเนซุเอลาซ้ำร้ายสถานการณ์ยังทวีความคุกรุ่นหลังจากกองทัพสหรัฐฯยิงจมเรือของเวเนซุเอลาที่อ้างว่าบรรทุกสมาชิกแก๊งอาชญากรรม ขณะที่กองทัพอากาศเวเนซุเอลาได้เริ่มปฏิบัติการใช้เครื่องบินรบบินโฉบเรือพิฆาตสหรัฐฯอย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างของประธานา ธิบดีทรัมป์ ได้ก่อให้เกิดคำถามเช่นเดียวกันว่าเวเนซุเอลาเกี่ยวอะไรกับยาเสพติด เนื่องจากข้อมูลของสำนักงานปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติสหรัฐฯ (DEA) มีการพูดถึงเวเนซุเอลาน้อยมาก และยังคงไม่เปลี่ยนแปลงข้อมูลว่า ยาเสพติดอย่างโคเคนที่ถูกลักลอบเข้ามาสหรัฐฯ ส่วนใหญ่กว่า 93% มีต้นตอมาจากโคลอมเบีย ขณะที่เม็กซิโกก็ถูกใช้เป็นเส้นทางการลักลอบหลักไม่นานมานี้ สำนักข่าวเดอะไฟแนนเชียล ไทม์ส ของอังกฤษ ได้เปิดประเด็นเรื่องเวเนซุเอลาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก และจากการที่สหรัฐฯคว่ำบาตรบริษัทพลังงานแห่งชาติเวเนซุเอลา PDVSA เมื่อ 8 ปีก่อน ทำให้การผลิตจาก 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงเหลือราว 500,000 บาร์เรลต่อวันแต่กรณีนี้ทางบริษัทพลังงานเชฟรอนของสหรัฐฯซึ่งมีกิจการร่วมกับ PDVSA ได้รับยกเว้นจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ จึงสามารถสูบน้ำมันส่งออกจากเวเนซุเอลาได้ดังเดิม และทำให้การผลิตน้ำมันของเวเนซุเอลาในปัจจุบันขยับมาเป็น 920,000 บาร์เรลต่อวัน ในจำนวนนี้เป็นของเชฟรอนราว 250,000 บาร์เรลต่อวัน ส่วนใหญ่ที่เหลือจะถูกส่งออกไป “จีน” ผ่านคนกลางเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรสหรัฐฯข้อมูลดังกล่าวนำไปสู่คำถามสุดคลาสสิกว่า หากเปลี่ยนผู้นำเวเนซุเอลาใครจะได้ประโยชน์เสียประโยชน์ โดยมีนักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยด้านพลังงานไรสตาด เอเนอร์จีของนอร์เวย์ มองถึงขั้นว่าหากบริษัทน้ำมันตะวันตกเข้าไปในเวเนซุเอลาได้อีกครั้ง ก็จะช่วยแก้ปัญหาการพึ่งพาน้ำมันจากภูมิภาคตะวันออกกลางได้ในระยะยาว.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม