แม้ว่าการกลับมาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะนำมาซึ่งความปั่นป่วนทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก แต่ส่วนตัวมองว่าทรัมป์ไม่ใช่ต้นเหตุ สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนถ่ายครั้งใหญ่ที่จะนำไปสู่ “โลกหลายขั้วอำนาจ” “จอร์จ โยว” อดีต รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ให้มุมมองในเรื่องนี้อย่างน่าสนใจระหว่างงานบรรยาย The Southeast Asia Lecture 2025 จัดโดยหนังสือพิมพ์เหลียนเหอ จ้าวเป่า และเดอะ บิสซิเนส ไทมส์ของสิงคโปร์ ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้มีโอกาสเข้าร่วมในฐานะสื่อไทยเพียงเจ้าเดียว สถานการณ์ที่กำลังเป็นไปในขณะนี้มาจากการที่สหรัฐฯ ยอมรับในที่สุดว่า ตัวเองไม่สามารถทำตัวเป็นพี่ใหญ่ที่ดูแลหรือควบคุมทุกคนได้อีกต่อไป เห็นได้จากความพยายามของทรัมป์ในการหาจุดตั้งหลักใหม่ และช่วงชิงความได้เปรียบอย่างเต็มที่ ดึงอุตสาหกรรมการผลิตมาที่สหรัฐฯ ฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่โรยรา บีบให้ประเทศต่างๆนำเม็ดเงินเข้ามาลงทุน ควบคู่ไปกับการลดการผูกมัดตัวเอง อย่างการกระตุ้นให้ชาติยุโรปเพิ่มงบความมั่นคงเป็น 5% ของ GDP เพื่อที่พวกนั้นจะได้ดูแลตัวเอง ไม่พึ่งพาสหรัฐฯเหมือนอย่างเคยอเมริกากำลังอยู่ในจุดที่ “ไม่มั่นคง” และจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อวางตำแหน่งของตัวเองในเวทีโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงกลายเป็นโลกหลายขั้วอย่างหลีกหนีไม่พ้น เอาเข้าจริงแล้วสิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้นภายใน 5-10 ปี ไม่ว่าผู้นำสหรัฐฯจะเป็นใคร แต่ทรัมป์เป็นปัจจัยมาเร่งให้กระบวนมาถึงเร็วก่อนกำหนดนำมาสู่การเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจยักษ์ใหญ่อย่าง “จีน” และทำให้เกิดปัญหาที่ตามมา เนื่องจากทัศนคติต่อจีนของชาติตะวันตก ต่างกับทัศนคติต่อจีนของชาติตะวันออกอย่างสิ้นเชิง จากประสบการณ์ส่วนตัวทำให้พบว่าชาติตะวันตกส่วนใหญ่มีมุมมองว่า สักวันหนึ่งจีนจะเหมือนกับตัวเอง เข้ามาควบคุมและแย่งชิงทุกอย่างในมุมของชาติตะวันตกให้ความสำคัญเรื่องผู้แพ้ผู้ชนะ ใครครองอำนาจ มองว่าการที่ชาติเอเชียในอดีต “จิ้มก้อง” ให้ของขวัญมอบบรรณาการแก่จีนคือการยอมจำนน การจ่ายค่าคุ้มครอง แต่ในมุมมองของภูมิภาคเราแตกต่างกัน การที่เราเข้าหาจีนตั้งแต่ในอดีต ก็เพราะจีนจะให้เรากลับมาอย่างมหาศาล จีนเป็นชาติที่เวลาปลื้มใครก็จะตอบแทนดูแลอย่างดี แต่ถ้าไม่พอใจก็จะแสดงออกมาชัดๆและให้การตอบแทนน้อยลงไปตามลำดับอดีตจนถึงปัจจุบันจีนบริหารจัดการความสัมพันธ์ในลักษณะนี้มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้การจะเข้าใจอนาคตของเรา จำเป็นต้องใช้มุมมองของตัวเอง จะไปใช้มุมมองตะวันตก ไม่ได้ อย่างที่ถูกถามบ่อยเรื่องไต้หวันมองว่าจีนไม่ได้ต้องการสงคราม ขณะที่สหรัฐฯก็รู้ว่าเส้นไหนที่ไม่ควรข้าม เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเศรษฐกิจสหรัฐฯย่อมได้รับผลกระทบ ลองคิดภาพหากเกิดสงคราม โรงงาน TSMC ถูกทำลายแล้ว Nvidia จะเอาชิปจากไหนจีนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความก้าวร้าว เพราะเอาเข้าจริงแล้วจีนไม่ได้ต้องการให้ไต้หวันเป็นอีกมณฑลเล็กๆมณฑลหนึ่ง แต่อยากให้ไต้หวันคงความแตกต่างที่สามารถเพิ่มคุณค่าให้กับจีนเหมือนอย่างฮ่องกง ไต้หวันเองก็รู้ว่าคนอเมริกันจะไม่ยอมมาตายเพื่อไต้หวัน ซึ่งสุดท้ายเรื่องก็จะไปอยู่ที่การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับจีนเช่นไรสำหรับทิศทางการค้าภายใต้สถานการณ์โลกหลายขั้วจะเป็นเช่นไร อดีต รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ให้ความเห็นว่า หากองค์การการค้าโลก (WTO) หลุดไปจากสมการแล้ว ความได้เปรียบเสียเปรียบย่อมเกิดความไม่สมดุล จำเป็นที่เราต้องปรับตัวให้มีความยืดหยุ่นอย่างไม่กระโตกกระตาก จะพึ่งจีนเลยก็ไม่ได้ ทางที่ดีคือการกระจายแตกไลน์ “Diversify” อย่าไปคิดใหญ่ทำใหญ่เหมือนช่วงที่โลกมีเสถียรภาพมุ่งเน้นการก้าวเล็กๆไปทีละก้าวควบคู่ไปกับความพร้อมในการปรับตัว อย่างภาคอุตสาหกรรมการผลิตไม่ควรผลิตจากที่เดียว อย่างบริษัทของจีนก็ได้ข้อสรุปเดียวกัน มีฐานที่เม็กซิโก ยุโรป หรือสิงคโปร์ การมุ่งสู่อนาคตอย่ามั่นใจในแผนการเดียว เพราะตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในความไม่แน่นอน เหมือนกับสภาพอากาศที่รู้แหละว่าฤดูหนาวมาแน่ แต่เมื่อไรล่ะ วันนี้พรุ่งนี้สัปดาห์นี้หรือเดือนหน้า เราต้องมีความคล่องตัวพร้อมปรับตามสถานการณ์ ค่อยๆเดินไปทีละก้าวพร้อมดูลู่ทางเตรียมรับมือความน่าจะเป็นไว้ให้พร้อม อย่ามั่นใจตัวเองเกินไปภูมิภาคอาเซียนมีจุดแข็งจุดอ่อนแตกต่างกัน อย่าง “อินโดนีเซีย” คือเรื่องขนาดและทรัพยากรทางธรรมชาติทั้งทางบกทางทะเลที่ซ่อนอยู่ เห็นในแผนที่โลกอินโดนีเซียดูเหมือนเล็กๆ แต่ถ้าเอาไปวางในตำแหน่งเดียวกับสหรัฐฯก็จะมีอาณาเขตลากจากซานฟรานซิสโกไปจนถึงเกาะเบอร์มิวดา ยาวกว่าอเมริกาอีก ต่อมาคือ “ประเทศไทย” ที่มีขีดความสามารถอันยอดเยี่ยมในการรับมือ “อิทธิพลจากภายนอก” และคนไทยก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวในการสร้างมิตรภาพ ต้อนรับขับสู้ชาวต่างชาติ ถือเป็นตัวตนของคนไทยที่ยากจะเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนได้คือวิธีการบริหารจัดการของรัฐบาล ทำอย่างไรให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เสริมด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาคนในประเทศไทย นี่คือสิ่งที่ต้องทำอยู่ตลอดเวลาสำหรับสิงคโปร์นั้น ถ้าให้เลือกได้เราก็อยากอยู่ในตำแหน่งภูมิศาสตร์เดียวกับประเทศพวกคุณ แต่เราเลือกไม่ได้ ซึ่งท้ายสุดแล้วก็ต้องคิดว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น เดินไปข้างหน้าดีกว่า และพยายามทำให้อาเซียนมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น มีสันติภาพและพยายามผดุงไว้ซึ่งสันติภาพ เพราะยิ่งอาเซียนพัฒนาได้มากเท่าไร สิ่งที่พวกเราได้กลับมาก็จะยิ่งมากเท่านั้น.ทีมข่าวต่างประเทศคลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม