จบลงอย่างยิ่งใหญ่สำหรับพิธีสวนสนามรำลึก 80 ปีสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ของประเทศจีน เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางบรรยากาศการแบ่งขั้วอำนาจการเมืองโลกอย่างชัดเจนผู้นำกลุ่มประเทศตะวันออกต่างมารวมตัวกันในกรุงปักกิ่ง ขณะที่กลุ่มผู้นำชาติตะวันตกและพันธมิตร กลายเป็นผู้สังเกตการณ์ นั่งชมพาเหรดผ่านจอมอนิเตอร์อยู่ในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนอย่างไรก็ตาม ประเด็นทางการเมือง “โลกหลายขั้วอำนาจ” ถือเป็นเรื่องที่ต้องพักไว้ก่อน เพราะเป็นหนังม้วนยาวที่ต้องติดตามกันต่อไป แต่สิ่งที่ประจักษ์ชัดอยู่ตรงหน้าและถือเป็น “ภัยคุกคาม (ต่อชาติตะวันตก)” คือการที่กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน จัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ชนิดใหม่ต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการโดยความน่าสะพรึงกลัวไม่ได้อยู่ที่ความพร้อมเพรียง และระเบียบวินัยของทหารจีน แต่อยู่ที่อาวุธ 2 ประเภทนั่นคือ 1.อากาศยานไร้คนหรือ “โดรน” และ 2.ขีปนาวุธที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์รุ่นใหม่ของจีนไอเท็มแรก นักวิเคราะห์ความมั่นคงประเมินว่า เป็นอากาศยานไร้คนปีกรูปเพชร 1 ท่อไอพ่น ที่มีขนาดใกล้เคียงกับเครื่องบินรบอเนกประสงค์รุ่น J-10 ของจีน ส่วนหัวมีความแหลมเพรียว ขณะที่ผิวลำตัวถูกออกแบบให้มีความมนเพื่อลดหน้าสัมผัสของสัญญาณเรดาร์ คุณสมบัติเด่นของเครื่อง “สเตลธ์” หลีกเลี่ยงการตรวจจับ แม้จะไม่มีการประกาศชื่อรุ่นที่ชัดเจน แต่ผู้สังเกตการณ์ต่างพากันตั้งชื่อให้เบื้องต้นว่า รุ่น A และรุ่น B จากการที่เครื่อง 2 ลำที่ถูกขนมาด้วยรถบรรทุกเคียงคู่กันมีทรงปีกแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ทั้งหมดทั้งปวงถือว่าเข้าข่าย UCAV หรือโดรนสำหรับการรบทางอากาศและการครอบครองน่านฟ้าพร้อมเปรียบเทียบกันว่า โดรนของจีนรุ่น A และ B มีความคล้ายคลึงกับโครงการอาวุธเพื่อการทำงานร่วมกับเครื่องบินรบ (CCA) ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ หรือให้เข้าใจง่ายๆคือ การพัฒนาโดรนไร้คนที่จะมาทำหน้าที่ “วิงแมน” เครื่องบินลูกฝูงเพื่อสนับสนุนและคุ้มกันนักบินหัวหน้าฝูง พร้อมเข้าโจมตีเป้าหมายที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา ไม่ต้องเอาชีวิตนักบินจริงๆเข้าไปเสี่ยงภัยเพียงแต่สิ่งที่สหรัฐฯกำลังซุ่มพัฒนามาหลายปีไม่ได้มีความปราดเปรียวเหมือนกับโดรนจีนที่ถูกนำมาจัดแสดง ทำให้เชื่อได้ว่า อาวุธใหม่ของจีนจะมีความคล่องตัวมากกว่าเวลาเกิด “สงครามทางอากาศ” ที่ต่างฝ่ายพยายามแย่งชิงน่านฟ้าครองความเป็นเจ้าเวหา เพื่อเปิดทางให้ทหารราบปฏิบัติได้โดยไม่ถูกรบกวนจากเครื่องข้าศึกนอกจากนี้ การสังเกตเพิ่มเติมยังทำให้พบว่า ส่วนคางของโดรนรุ่น B ยังมีกระเปาะทรงเหลี่ยมยื่นออกมา ซึ่งจุดนี้เชื่อว่า คือระบบเซ็นเซอร์อิเล็กโทร-ออปติกสำหรับตรวจจับเป้าหมาย (EOTS) คล้ายกับระบบบนเครื่องบินรบพรางเรดาร์ F-35 ของสหรัฐฯ หรือเครื่องบินรบพรางเรดาร์รุ่นใหม่ J-20 ของจีนกระนั้น สิ่งที่ยังแยกไม่ออกทั้งรุ่น A และรุ่น B มีขอบเขตภารกิจเช่นไร เนื่องจากรุ่น A ไม่มีกระเปาะเซ็นเซอร์ดังกล่าว และมีความเพรียวบางยิ่งกว่ารุ่น B เป็นไปได้หรือไม่ว่า ในสถานการณ์การรบจริงนั้น เครื่องโดรนทั้งสองรุ่นจะทำงานร่วมกัน แชร์ข้อมูลผ่านดาต้าลิงก์ โดยมีรุ่น B ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตา ขณะที่รุ่น A เป็นตัวช่วยในการ “เพิ่มจำนวน” จรวดที่ยิงกระหน่ำเข้าใส่เครื่องบินของข้าศึกสำหรับอาวุธประเภทที่สอง นักวิเคราะห์ความมั่นคงยังแสดงความกังวลถึงขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่น JL–1 “จิงเหลย” แบบปล่อยจากเครื่องบินทิ้งระเบิด (ALBM) ซึ่งมีชื่อรหัสซ้ำกับขีปนาวุธปล่อยจากเรือดำน้ำ “จู้หลาง” ที่จีนปลดประจำการไปแล้ว โดยกรณีนี้ทางการจีนอธิบายภายในงานสวนสนามว่า เป็นอาวุธที่มีระยะทำการประมาณ 8,000 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นระยะทำการที่เหนือกว่าอาวุธประเภทใกล้เคียงกันในคลังแสงของกองทัพจีนในรายงานความมั่นคงของกระทรวงกลาโหมเพนตากอนส่งถึงสภาคองเกรสเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา ได้ประเมินศักยภาพของขีปนาวุธจีนในปัจจุบัน อย่างรุ่น DF-21 หรือ DF-26 ว่า มีระยะทำการอย่างน้อย 1,500 กิโลเมตร และ 4,000 กิโลเมตร แต่คุณลักษณะสำคัญของขีปนาวุธจิงเหลยหรือแปลได้ว่าพายุคำราม คือแนวโน้มที่จะเป็นขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ซึ่งหมายถึงความเร็วกว่า “มัค 5” หรือกว่า 6,200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน เคยมีการเผยแพร่ภาพขีปนาวุธแบบปล่อยจากเครื่องบินทิ้งระเบิด ที่มีหน้าตาคล้ายกับขีปนาวุธจิงเหลยในปัจจุบัน ซึ่งตอนนั้นทางกลาโหมเพนตากอนสหรัฐฯได้ตั้งชื่อรหัสว่า CH-AS-X13 พร้อมประเมินว่าอาวุธมีขีดความสามารถในการบรรทุกหัวรบ “นิวเคลียร์” อย่างแน่นอนเพียงแต่เรื่องที่ยังไม่ชัดเจนคือ ขีปนาวุธดังกล่าวมีระบบการทำงานเช่นไร เป็นอาวุธเพดานบินสูงแบบ HBGVs ซึ่งหมายถึงการที่ตัวขีปนาวุธจะพุ่งไปในระดับความสูงเฉียดชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วเหนือเสียงก่อนพุ่งลงสู่เป้าหมาย โดยระหว่างนั้นจะมีการเปลี่ยนทิศทางเป็นระยะๆเพื่อให้ยากต่อการยิงสกัดกั้น หรือเป็นขีปนาวุธแบบ MARVS ยิงเป็นวิถีโค้งออกไปในชั้นบรรยา กาศโลกก่อนตกลงสู่เป้าหมายด้วยความเร็วเหนือเสียงและที่สำคัญใน 1 หัวรบจะสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้กี่ลูก เพราะจากรูปทรงมีความเป็นไปได้ว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับเก็บหัวรบนิวเคลียร์หลายหัว และแตกออกมาแบบลูกปรายลงสู่เป้าหมายจุดต่างๆก่อนหน้านี้จีนเคยเตือนในเชิงการเมืองว่า หมดเวลาแล้วสำหรับยุคประเทศใดประเทศหนึ่งจะยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว มาในงานสวนสนามครั้งนี้ จีนก็แสดงให้เห็นเช่นกันว่า กองทัพอันเกรียงไกรของชาติตะวันตก อาจไม่ยิ่งใหญ่ตามคำร่ำลืออีกต่อไป.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม