เสียงเด็กแรกเกิดที่เบาลงทุกปีเป็นสัญญาณเตือนภัยครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจโลก จากยุคที่โลกเคยเชื่อว่าประชากรมากเท่ากับความมั่งคั่ง แต่วันนี้สมการนั้นถูกท้าทายด้วยพายุลูกใหม่ เมื่อหลายประเทศกำลังเผชิญกับ “วิกฤติเด็กเกิดน้อย” โดยมี “เกาหลีใต้” เป็นศูนย์กลางการก่อตัวของพายุ แม้แต่ “ประเทศไทย” ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าก็อาจต้องเผชิญวิกฤตินี้เช่นกัน เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกขนาดไหน ก็ต้องบอกว่าหนักหน่วงไม่แพ้ “วิกฤติสังคมสูงวัย” เนื่องจากมันจะเปลี่ยนโครงสร้างทุกด้าน“โครงสร้างแรงงานและการผลิต” โลกจะเข้าสู่ยุคแรงงานขาดแคลน เมื่อคนเกิดน้อยลง โดยคาดว่า 15-20 ปีข้างหน้าจะมีแรงงานวัยทำงานลดลง ส่งผลให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้น, ธุรกิจต้องพึ่งพา AI, หุ่นยนต์, ระบบอัตโนมัติมากขึ้น และหันไปใช้แรงงานต่างด้าวมากขึ้น การเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตจะไม่ได้มาจากจำนวนแรงงาน แต่ขึ้นกับคุณภาพแรงงาน และความทันสมัยของเทคโนโลยี“โครงสร้างประชากรและการบริโภค” กำลังซื้อโดยรวมจะหดตัวลง เพราะคนวัยทำงานน้อยลง ทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว ความต้องการสินค้าและบริการจะเปลี่ยนจากตลาดเพื่อคนหนุ่มสาว เช่น บ้าน, รถ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปเป็นตลาดเพื่อคนสูงวัย เช่น สุขภาพ, การแพทย์, ประกันชีวิต และเทคโนโลยีดูแลผู้สูงอายุ“โครงสร้างการคลัง, การเงิน และภาษี” ภาษีที่เก็บจากคนวัยทำงานน้อยลง แต่รายจ่ายด้านบำนาญและสวัสดิการผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทำให้หนี้สาธารณะพุ่งทะยาน น่ากลัวคือเม็ดเงินจากกองทุนบำนาญและประกันสังคมอาจไหลออกไม่หยุด เพราะเป็นเงินชราภาพที่ต้องนำมาจ่ายคืนผู้ประกันตน เมื่ออายุครบ 55 ปีขึ้นไป โครงสร้างที่เปลี่ยนไปนี้จะทำให้เกิดนโย บายการเงินใหม่ ต้องคงดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ“ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกเปลี่ยน” ประเทศที่ยังมีประชากรอายุน้อย เช่น อินเดีย, แอฟริกา และบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะกลายเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ของโลก แทนที่ยุโรป, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ บริษัทข้ามชาติจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีแรงงานอายุน้อยและต้นทุนต่ำกว่า“ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์” ประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะ “อเมริกา” ที่แก้วิกฤติเด็กเกิดใหม่ลดลง โดยหันไปพึ่งแรงงานอพยพมากขึ้น อาจต้องเผชิญกับความตึงเครียดทางสังคมและการเมืองแทน ขณะเดียวกันระบบบำนาญของสหรัฐฯยังมีความเสี่ยงสูง เพราะอัตราส่วนคนจ่ายภาษีกับผู้รับบำนาญไม่สมดุลน่าจับตามองคือ “เกาหลีใต้” เป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีระบบสวัสดิการสูง แต่กลับมีอัตราเกิดต่ำที่สุดในโลก และมีอัตราการลดลงของคนวัยทำงานเร็วที่สุด โดยเมื่อปี 2024 เพิ่งทำสถิติอัตราเจริญพันธุ์ต่ำที่สุดในโลกเพียง 0.68 ขณะที่ตัวเลขทดแทนประชากรควรอยู่ที่เด็ก 2.1 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคน หมายความว่าในอีก 50 ปีข้างหน้า ประชากรของเกาหลีใต้อาจหายไปทีเดียวครึ่งประเทศวิกฤติประชากรสุดขั้วในเกาหลีใต้ เกิดจากปัญหาสะสมยาวนานหลายทศวรรษ เริ่มจากนโยบายคุมการเกิดตั้งแต่ปี 1960 และเปลี่ยนไม่ทัน ถาโถมด้วยความยุ่งยากทางเศรษฐกิจ, ตลาดงานแข่งขันสูง, หาคู่ยาก และค่านิยมเน้นสร้างอาชีพก่อนสร้างครอบครัว รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องทุ่มงบมหาศาลเพื่อกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูก โดยยอมแจกเงินสนับสนุนค่าเลี้ยงดู แต่ผลลัพธ์เงียบสนิท ปล่อยให้เผชิญความเสี่ยงจากสถานการณ์ผู้สูงวัยล้นประเทศ แต่แรงงานวัยหนุ่มสาวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ค่าใช้จ่ายบำนาญและสุขภาพทะยานขึ้นสรุปว่า “วิกฤติเด็กเกิดน้อย” ส่งผลสะเทือนสู่เศรษฐกิจโลกในทุกมิติ ตั้งแต่แรงงานหายากขึ้น ทำให้ต้องใช้หุ่นยนต์ และ AI ทดแทนแรงงาน ขณะที่ตลาดผู้บริโภคพลิกโฉมหน้าสินค้าเด็ก, บ้าน, รถ มีแนวโน้มขายได้น้อยลง ตรงข้ามกับสินค้าผู้สูงอายุ เช่น การแพทย์ และเทคโนโลยีดูแลสุขภาพ จะพุ่งแรงแซงหน้าภาระการคลังที่หนักขึ้นอาจทำให้หลายรัฐบาลต้องถังแตก เพราะเก็บภาษีจากคนวัยทำงานได้น้อยลง แต่ต้องจ่ายบำนาญและค่ารักษาพยาบาลให้ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น...ใครแก่ก่อนรวย ก็เตรียมลำบากตอนเกษียณได้เลย.มิสแซฟไฟร์คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม