ลินด์ซีย์ โอลิน เกร็ม (บางคนอ่านว่าเกรแฮม) ประธานคณะกรรมาธิการงบประมาณวุฒิสภาสหรัฐฯ และริชาร์ด บลูเมินธัล สมาชิกอาวุโสพรรคเสียงข้างน้อยประจำคณะกรรมาธิการกิจการทหารผ่านศึก วุฒิสภาสหรัฐฯ ทั้ง 2 คนรับตำแหน่งเมื่อ 3 มกราคม 2025 ยื่น The Sanctioning Russia Act of 2025 หรือพระราชบัญญัติคว่ำบาตรรัสเซีย ค.ศ.2025 ให้วุฒิสภาพิจารณาดูเหมือนวุฒิสมาชิกทั้ง 2 จะขาดความมั่นคงในคุณค่าของสหรัฐฯที่ในอนาคตมีโอกาสจะกลายเป็นประเทศชั้น 2 ซึ่งเกิดจากการรวมกลุ่มกันของรัสเซีย จีน และอินเดีย ซึ่งแต่ละประเทศมีศักยภาพใกล้เคียงสหรัฐฯเข้าไปทุกขณะเซโรโทนินซึ่งเป็นสารเคมีสำคัญในร่างกายที่ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทของสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯทั้ง 2 อาจจะทำงานบกพร่อง เนื่องจากความอิจฉาริษยา ความหวาดระแวง และความกลัวจนกลายเป็นความวิตกเรื้อรัง ที่จีน รัสเซีย และอินเดีย จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกร่วม จึงเสนอพระราชบัญญัติคว่ำบาตรรัสเซีย ค.ศ.2025 ที่ให้เก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าจากจีนและอินเดียสูงถึงร้อยละ 500สว.เกร็ม และ สว.บลูเมินธัลไม่พอใจที่จีนและอินเดียยังซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ความมุ่งหวังตั้งใจของสหรัฐฯก็คือให้ทุกประเทศที่ยังซื้อสินค้าจากรัสเซียต้องจ่ายอัตราภาษีนำเข้าร้อยละ 500 ไม่ว่าจะซื้อน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ยูเรเนียม ฯลฯสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯมี 100 คน จาก 100 คนนี้ 80 คน น่าจะมีสารเซโรโทนินต่ำแบบเดียวกับเกร็มและบลูเมินธัล เพราะให้การสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ แล้วบอกว่า พวกเราชาววุฒิสมาชิกจะต้องรีบผ่านร่างนี้ให้ไวที่สุด ขอให้เราทุกคนมาชุมนุมสุมหัวกันในวุฒิสภาในวันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม 2025 เพื่อลงมติแม้ว่าสมาชิกวุฒิสภาและทีมงานของทรัมป์จะเป็นฝรั่งมังค่าที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่คนทั้ง 2 กลุ่มก็มาทะเลาะเบาะแว้งกันในความหมายของ shall กับ may ในร่างกฎหมายคว่ำบาตรรัสเซีย ค.ศ.2025 ใช้ shall เยอะแยะ ทีมงานของทรัมป์บอกว่าคุณใช้ may ดีกว่า เพราะ shall เป็นคำที่เข้มข้นไป ใช้ may ก็จะอ่อนลงหน่อย ขณะที่ผมเขียนบทความของวันนี้ ไม่รู้ว่าวุฒิสมาชิกและทีมงานของทรัมป์ตกลงเรื่องศัพท์ shall กับ may ได้แล้วหรือยังสังคมอเมริกันชักจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อน โดยเฉพาะในประเด็นภาษีที่จะใช้เป็นอาวุธในการไปบังคับข่มขู่ประเทศอื่น อัตราภาษีไม่อยู่กับร่องกับรอย แม้แต่คนเดียวกันก็ยังพูดวกวน วันนี้พูดอย่าง พรุ่งนี้พูดอีกอย่าง ทำให้ทั้งประธานาธิบดี นักการเมือง ข้าราชการและคนอเมริกันเกิด Cognitive Dissonance หรือภาวะสมองเกิดความเครียดจากความคลุมเครือ สมองรับรู้ข้อมูลขัดแย้งกันความนิ่ง ความมีสมาธิ และความสงบ ทำให้สภาวะจิตใจของคณะผู้นำทั้งจีน อินเดีย และรัสเซีย เยือกเย็น มีพลัง และมีอิทธิพลต่อร่างกาย อารมณ์ และปัญญา ไม่ว่าจะนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน นายนเรนทรา โมดี ผู้นำอินเดีย และนายวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ต่างมีฐานของสติปัญญาที่สามารถใช้ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ แค่ผู้นำเพียงประเทศเดียว พวกตะวันตกก็แย่แล้ว เมื่อรวมสมาธิของผู้นำทั้ง 3 ประเทศ ก็เหมือนกับแสงเลเซอร์ที่รวมพลังไว้จุดเดียว ทะลุทะลวงได้ทุกสิ่งส่วนทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล เซเลนสกี ผู้นำอูเครน และผู้นำยุโรปคนอื่นๆเป็นพวกตกใจง่าย ตัดสินใจไม่แน่นอน หวั่นไหวบ่อย ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และยังเพ้อถึงความได้เปรียบในการควบคุมโลกอย่างเดิมๆ มาใช้บงการ บังคับขู่เข็ญประเทศที่มีศักยภาพต่อสู้กับตัวเองพวกนักวิเคราะห์ซีกตะวันตกทุกวันนี้ก็หากินกันไม่ค่อยได้ เพราะข้อมูลจากพวกผู้นำตะวันตกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อาชีพที่น่าจะมีรายได้ดีก็น่าจะเป็นพวกหมอศัลยกรรมหรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่สามารถเย็บแผลบนใบหน้าได้ เนื่องจากพวกนักวิเคราะห์ตะวันตกหน้าแตกกันเป็นประจำสหรัฐฯกำลังตกต่ำย่ำแย่จาก Political Polarization หรือความแตกแยกภายใน แบ่งขั้วกันสุดขีด ขาดจุดร่วมทางอุดมการณ์ ความตระหนกตกใจจากปัญหาเศรษฐกิจและหนี้สาธารณะ คนหมดหวังใน American Dream หรือความฝันแบบอเมริกัน สหรัฐฯมีวิกฤติคุณภาพการศึกษา และที่แย่ที่สุดอย่างหนึ่งคือปัญหาด้านโครงสร้างด้านพื้นฐานที่เสื่อมโทรม คนไร้บ้าน ยาเสพติดและอาชญากรรม.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม