สงครามเย็นยุคแรกเริ่มอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ.1947 (บางสำนักบอกเริ่ม 1945 แต่ถ้าศึกษาอย่างละเอียดจะพบว่าเริ่ม 1947) ระหว่างสหรัฐฯกับโซเวียต ทำให้โลกระหว่าง ค.ศ.1947-1991 อยู่ในภาวะ Bipolarity หรือสองขั้วอำนาจสงครามเย็นรอบที่ 1 จบลงด้วยความล่มสลายของโซเวียตเมื่อปลาย ค.ศ.1991 ช่วงนั้นบังเอิญผมอยู่ในสหภาพโซเวียต และใช้ชีวิตในกรุงมอสโกในห้วงที่สงครามเย็นล่มสลาย หลังจากนั้นโลก ก็ปลอดสงครามเย็นจนถึง ค.ศ.2025 เป็นเวลา 33 ปีสงครามเย็นรอบที่ 2 เริ่มเมื่อ ค.ศ.2025 มี 2 ค่ายเหมือนเดิม แต่ต่างจากรอบแรกในหลายมิติ ทั้งเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และกลุ่ม พันธมิตร ค่ายที่ 1 นำโดยสหรัฐฯที่มีพันธมิตรหลักคือ สมาชิกนาโต ที่ส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรปตะวันตก รวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และแคนาดา ลักษณะเด่นของค่ายที่ 1 คือใช้กลไกเศรษฐกิจแบบทุนนิยม และเป็นกลุ่มที่ควบคุมกลไกทางการเงินของโลก ไม่ว่าจะเป็นไอเอ็มเอฟ (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) ธนาคารโลก และ SWIFT (ระบบส่งข้อความการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลกที่มีมาตรฐานเดียวกัน)ค่ายที่ 2 คือ กลุ่มที่ไม่ใช่ตะวันตก นำโดยจีน รัสเซีย และกลุ่ม บริกส์ ความขัดแย้งของทั้งสองค่ายนำไปสู่สงครามตัวแทนในหลายภูมิภาค แต่ความขัดแย้งก็ยังไม่ขยายรุนแรงและบานปลายเท่ากับสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2สมาชิกแต่ละค่ายเริ่มสะสมอาวุธเพื่อเตรียมรับกับการบานปลายของสงครามตัวแทนที่มีโอกาสเป็นสงครามโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศอดีตมหาอำนาจที่เหี้ยนกระหือรืออยากคืนสถานะมาเป็นเจ้าโลกใหม่ในยุคสงครามเย็นรอบที่ 2 คือฝรั่งเศสและอังกฤษทั้งที่เศรษฐกิจย่ำแย่ คนตกงานบานเบอะเยอะแยะ เทศบาลหลายแห่งประกาศล้มละลาย แต่ผู้นำอังกฤษก็เขย่งเท้าเพื่อให้สามารถ เข้าไปอยู่วงในของความขัดแย้ง ตอนนี้อังกฤษประกาศสร้างเรือดำน้ำ โจมตีพลังงานนิวเคลียร์ 12 ลำ ประกาศชัดเจนว่า เพื่อเตรียมรับมือ ภัยคุกคามจากรัสเซียและความตึงเครียดที่เปลี่ยนไปนายเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกฯอังกฤษ ประกาศว่า โลกเข้าสู่ สงครามเย็นยุคที่ 2 ที่มีภัยคุกคามรุนแรงกว่าสงครามเย็นยุคที่ 1 อังกฤษจึงต้องปรับยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศด้วย 3 แนวทางหลักคือ 1.เตรียมรับสงครามที่จะเกิดในอังกฤษเอง และในประเทศพันธมิตร 2.ให้ความสำคัญกับนาโตและร่วมสร้างขีดความสามารถ ให้กับกลุ่ม และ 3.พัฒนาด้านอุตสาหกรรมอาวุธ ขยายคลังแสงและศักยภาพการผลิตอาวุธภายใน ค.ศ.2027 อังกฤษต้องการเพิ่มงบกลาโหมเป็นร้อยละ 2.5 ของจีดีพี เมื่อถึง ค.ศ.2029 ก็จะเพิ่มให้ถึงร้อยละ 3 แม้ว่าจะไม่ค่อยมีสตางค์ แต่รัฐบาลอังกฤษก็ไปขูดรีดเงินจากสวัสดิการด้านต่างๆ เอามาลงทุนสร้างคลังแสงและระเบิด 1.5 พันล้านปอนด์ เอาไปผลิตกระสุน 7 พันล้านปอนด์ ขยายกำลังผลิตอาวุธและเร่งซ่อมบำรุงอังกฤษเร่งหาเงินเพื่อนำมาก่อตั้งกองบัญชาการไซเบอร์ เพื่อป้องกันภัยจากโลกดิจิทัล กองบัญชาการฯเตรียมไว้สำหรับรับมือสงครามไฮบริดและข่าวปลอมค่ายที่มีสหรัฐฯเป็นผู้นำล้าจากสงครามตัวแทน เสียทรัพยากรจำนวนมากในสงครามอูเครนและตะวันออกกลาง จนพันธมิตรบางประเทศเริ่มลังเล ไม่อยากเข้าค่ายใดค่ายหนึ่งอย่างชัดเจน ปัญหาของค่ายนี้ก็คือการมีหนี้สาธารณะสูง แม้แต่ตัวผู้นำค่ายเองอย่างสหรัฐฯ ก็มีหนี้ทะลุ 34 ล้านล้านดอลลาร์ มีความขัดแย้งทางการเมืองภายในสหรัฐฯ และยุโรป ขาดเอกภาพ ประชาชนจำนวนไม่น้อย ของค่ายนี้เริ่มเบื่อหน่ายและต่อต้านสงครามค่ายที่มีจีนและรัสเซียเป็นผู้นำได้เปรียบเรื่องมีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล รัสเซียถือครองน้ำมัน ก๊าซ แร่หายาก จีนก็ควบคุมห่วงโซ่อุปทานของสินค้าโลก มีหลายประเทศที่เคยเดือดเนื้อ ร้อนใจจากตะวันตกประกาศเข้ามาร่วม ค่ายนี้กำลังสร้างระบบการเงิน คู่ขนาน (ท้าทายระเบียบโลกที่ตั้งกฎเกณฑ์โดยกลุ่มแรก) หันมาใช้หยวนและบริกส์เพย์ขณะที่ค่ายที่ขยันสร้างสงครามตัวแทนไกลบ้าน ต้องใช้เงิน มากมายในการขนส่งทหารไปรบ แต่ค่ายที่ 2 ที่นำโดยจีนและรัสเซีย ได้เปรียบในการสู้ในพื้นที่ตัวเองจีนก็สู้กับไต้หวัน รัสเซียก็สู้กับอูเครน.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม