การศึกษาจีนเป็นระบบที่ลำดับขั้นชัดเจน เน้นวินัยและความเป็นเลิศทางวิชาการ รัฐคุมและกำหนดหลักสูตรจากส่วนกลางอย่างเข้มงวด แบ่งเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน 9 ปี เป็นภาคบังคับ (ชั้นประถม 6 ปี ชั้นมัธยม 3 ปี) นักเรียนทุกคนต้องได้เรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เข้มงวดคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาจีน ประวัติศาสตร์ และศีลธรรมมัธยมปลาย 3 ปี ไม่ใช่ภาคบังคับ แต่จำเป็นสำหรับการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผู้ปกครองจีนส่วนใหญ่จะเตรียมให้ลูกหลานของตนเองสอบแข่งขันเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายที่มีคุณภาพหลังจากนั้นเป็นระดับอุดมศึกษา อนุปริญญา ปริญญาตรีโท และเอก เยาวชนจีนต้องสอบเกาเข่า เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับชาติ เป็นการสอบที่กดดันและแข่งขันสูงที่สุดในโลก คะแนนของการสอบเกาเข่าเป็นตัวกำหนดอนาคตของนักเรียนทั้งชีวิต โรงเรียนพิเศษเติบโตเพราะผู้ปกครองต่างลงทุนเพื่อให้ลูกสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้รัฐบาลจีนพยายามลดความเหลื่อมล้ำด้วยการควบคุมโรงเรียนติวเตอร์เอกชน และสนับสนุนการเรียนสายอาชีพ รวมทั้งสายเทคนิค มีการส่งเสริมปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรมให้เป็นหลักสูตรใหม่จีนใช้ระบบ 2 ภาคการศึกษา เทอมแรกเรียกกว่าภาคฤดูใบไม้ร่วงปลายสิงหาคมหรือต้นกันยายน สอบปลายภาคต้น-กลางเดือนมกราคม เทอมที่สองเรียกว่าภาคฤดูใบไม้ผลิ เริ่มเรียนปลายกุมภาพันธ์หรือต้นมีนาคม และสอบเดือนกรกฎาคม จีนไม่มีเทอมฤดูร้อน ช่วงปิดเทอมนักเรียนไปเรียนพิเศษหรือเรียนเสริม23 เมษายน 2025 กระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศเพิ่ม 29 สาขาวิชาใหม่ในระดับปริญญาตรีในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยโดยทั่วไป เพื่อให้ตอบสนองกลยุทธ์ระดับชาติ และการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงของประเทศสาขาที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ระดับชาติคือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางทะเล ความมั่นคงด้านสุขภาพและการแพทย์ และการเป็นกลางทางคาร์บอน ส่วนสาขาที่ตอบสนองต่อแนวโน้มเทคโนโลยีมีวิศวกรรมโมเลกุลอัจฉริยะ วิศวกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์ และวิศวกรรมสารสนเทศเชิงปริภูมิและเวลานอกจากนั้นยังมีสาขาที่รองรับตลาดเกิดใหม่และสังคมยุคใหม่คือการจัดการเรือสำราญนานาชาติ กีฬาทางอากาศ การศึกษาปัญญาประดิษฐ์ วิศวกรรมภาพและเสียงอัจฉริยะ รวมทั้งละครดิจิทัลการปรับตัวเชิงรุกของการศึกษาจีนด้วยการเพิ่มสาขาวิชาใหม่เหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลจีนที่ต้องการให้เยาวชนพลเมืองของตนสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจสีเขียว รัฐบาลจีน ตระหนักถึงความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะเทคโนโลยีและตลาดเกิดใหม่ เช่น เอไอและการจัดการเรือสำราญ ซึ่งในสายตาชาวต่างประเทศดูจะเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยเล็กน้อยปัญหาด้านการศึกษาหลักสูตรใหม่ของจีนก็คือ การหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณภาพมาสอน การกระดิกพลิกตัวด้านการศึกษาของจีนในครั้งนี้เป็นที่จับตามองของประเทศต่างๆทั่วโลก ซึ่งทุกประเทศก็ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เยาวชนคนของตัวสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ตกโลกรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาของจีน ต้องเป็นรัฐมนตรีเกรดเอ ผ่าน การคัดแล้วคัดอีกอย่างเข้มงวดกวดขันที่สุด ต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ มีประวัติดีงาม ไม่ด่างพร้อยเพื่อให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เยาวชนส่วนประเทศที่ล้มเหลวมักมีระบบการศึกษาที่แย่ การเข้าถึงต่ำ คุณภาพต่ำ งบประมาณต่ำ ทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพต่ำ ผลิตแรงงานออกมาจำนวนมากแต่ไม่สามารถตอบสนองภาคเศรษฐกิจใหม่ๆ ของโลกได้ ผู้ผ่านการศึกษาในระบบเหล่านี้มักจะมีความอ่อนแอ หลงเชื่อข่าวลวงได้ง่าย ขาดแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลงประเทศที่เด่นชัดที่สุดคือเฮติ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการศึกษาขั้นพื้นฐานที่แย่มาก แม้ผ่านการศึกษาในระบบมาแล้ว แต่นักเรียนจำนวนมากก็ยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจและการเมืองไร้ประสิทธิภาพ มีความยากจนวนเวียนซ้ำซาก หลายประเทศที่เคยล้มเหลว แต่ฟื้นได้เพราะการศึกษา อย่างเช่น เกาหลีใต้ที่หลังสงครามเกาหลีมีแต่ความยากจน ภายหลังรัฐบาลลงทุนมหาศาลกับการศึกษา ผลิตแรงงานฝีมือสูง จนสามารถสร้างผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ บั้นปลายท้ายที่สุด เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และสามารถส่งออกเทคโนโลยีระดับโลกสิงคโปร์เป็นอีกประเทศหนึ่งซึ่งไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ รัฐบาลเลือกเอาการศึกษาเป็นนโยบายหลัก ผลักดันครูให้เป็นอาชีพที่ได้รับการยกย่องสูงสุด จนบั้นปลายท้ายต่อมา สิงคโปร์สามารถใช้การศึกษาพัฒนาประเทศให้เต็มไปด้วยทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพสูง.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม