ในขณะที่แก๊งอาชญากรรม “คอลเซ็นเตอร์” กำลังได้รับความสนใจไปทั่ว นับตั้งแต่รัฐบาลจีนส่งขุนพลระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีมาช่วยปราบปราม ก็ยังมีอีกธุรกิจหนึ่งที่เติบโตควบคู่กันไปอย่างเงียบๆ นั่นคือธุรกิจ “ค้าบริการทางเพศ” ผิดกฎหมายที่อยู่รายล้อมพรมแดนประเทศไทยแน่นอนว่า “อาบอบนวด” เหล่านี้ (ขอใช้ชื่อที่คนไทยคุ้นชินกัน) ถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายธุรกิจทุนสีเทาที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เงินจากการ “สแกม” หลอกลวงชาวบ้าน เงินจากบ่อนการพนัน และเงินจากธุรกิจค้าประเวณี จะมีการผ่านมือกันไปมาอยู่ตลอด ฟอกแล้วฟอกอีกหลายขั้นหลายตอนสำหรับ “จำนวน” ของสถานบริการ ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่แล้วสถานบริการที่โดดเด่นจะไม่ได้มีไว้สำหรับรับรองลูกค้าทั่วไป เรียกง่ายๆคือจะเดิมดุ่มๆเข้าไปใช้บริการไม่ได้ จำเป็นต้องได้รับ “คำแนะนำ” ให้รับประกันต่อกันมา จากลูกค้า “กลุ่มเดิม” ที่เป็นบุคคลสำคัญในแวดวงความมั่นคงของชาติเพื่อนบ้านถามว่าลูกค้าคนไทยมีหรือไม่ ข้อมูลจากแหล่งข่าวอ้างว่า เท่าที่ทราบไม่เห็นทหารหรือตำรวจจากฝั่งเรา แต่มีกลุ่มนักกฎหมายบางส่วนที่ทำงานข้ามพรมแดน มาเข้าใช้สถานที่อยู่เป็นระยะๆ ไม่ชัวร์ว่าเป็นลูกค้าหรือไม่ขณะที่สาวๆผู้ให้บริการก็มี “หลักร้อยชีวิต” ส่วนใหญ่เป็นชาว “เวียดนาม” รองลงมาก็จะมาจาก สปป.ลาว คนไทย ไปจนถึงชาวต่างชาติจากยุโรป รัสเซีย หรือชาวญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวขอย้ำว่า ไม่ใช่ทุกคนที่มาจะทำงานอย่างสมัครใจ ถูกลวงมาบังคับขายตัวก็มีโดยงานนี้เครือข่ายขายบริการทางเพศจะใช้วิธีคลาสสิก นั่นคือการ “หลอกให้รัก ทำให้หลงเชื่อ” ให้เหล่านายหน้าไปหาเหยื่อมาขายให้ซ่อง โดยทีมงานพวกนี้จะสร้างโปรไฟล์ให้ตัวเองดูดี ทำทีว่าเป็นนักธุรกิจจากเมืองจีนหรือประเทศอื่นๆ และเริ่มกระบวนการ “จีบสาว” ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวีแชต เฟซบุ๊ก หรือแอปพลิเคชันหาคู่ต่างๆพอเริ่มชอบพอกัน คนพวกนี้ก็จะมีการนัดแนะ “ออกเดต” พาผู้หญิงไปรับประทานร้านหรู พาไปเที่ยวพักผ่อนรีสอร์ตดีๆ เรียกได้ว่า “เปย์ไม่อั้น” เพื่อให้สาวๆเกิดการตายใจ คิดว่าหนุ่มที่เข้ามาจีบคือ “ของจริง” เป็นนักธุรกิจร่ำรวย ชีวิตนี้คงสบาย ได้ไปกินหรูอยู่ดีในต่างแดนกระนั้น บทสรุปคือถูกลากมาขายให้กับอาบอบนวดชายแดน โดยเหล่านายหน้าพวกนี้จะนำ “ใบเสร็จ” ค่าที่ใช้จ่ายในการเปย์สาวทั้งหมดมาเก็บกับเครือข่าย สมมติทุ่มเทให้ผู้หญิงคนนี้ไป 200,000 บาท ทางเครือข่ายขายบริการก็จะจ่ายให้เพิ่มเป็น 400,000 บาท และตั้งเป็น “ค่าตัว” ที่ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อ ต้องหามาใช้คืนตรงจุดนี้ข้อมูลไม่ชัดเจนนัก ว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะได้จากการทำงานอยู่ที่เท่าไร เป็นเพียงเสียงเล่าลือกันว่า ค่าส่วนแบ่งต่ำสุดคือ 2% หากตัวเลขนี้เป็นความจริงก็ย่อมหมายความว่า ค่าบริการรอบละ (ขั้นต่ำ) 12,000 บาท เหยื่อสาวก็จะได้รับเงินคอมมิชชัน 240 บาท หากเก็บหอม รอมริบไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถไถ่ตัวเป็นอิสระได้ เพียงแต่จะซวยโดนตั้งค่าตัวฐานที่ “ซื้อมาแพง” หรือไม่สำหรับสาวเวียดนาม พวกนี้ส่วนใหญ่มาทำงานโดยสมัครใจ มีการเชิญชวนกันมาหาเงิน ดูแลกันเองไม่ต้องมีนายหน้าอะไรมายุ่งเกี่ยว มาทำงานเป็นช่วงๆเก็บเงินได้มากพอก็กลับไปพักผ่อน กลุ่มนี้เชื่อว่ามีประมาณ 60 กว่าคน ส่วนญี่ปุ่นนั้นมีประมาณ 7-8 คน กลุ่มนี้อาจถูกบังคับมา แต่ไม่ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับข่าวเมื่อปีก่อนหรือไม่ ที่มีกลุ่มมาเฟียเลือกเอาสาวญี่ปุ่นที่ติดหนี้บาร์โฮสต์หัวโต มาขายบริการทางเพศในต่างแดนแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งระบุด้วยว่า ได้ยินเรื่องราวแย่ๆเกี่ยวกับสาวจาก สปป.ลาว โดยน้องๆกลุ่มนี้ทางพวก “นายหน้า” ได้ใช้วิธีไป “ผูกข้อมือ” ขอตบแต่งมาจากครอบครัวยากจนในต่างจังหวัด ทำทีว่าจะรับไปดูแล ก่อนพามาขายตัวให้กับซ่องชายแดน ที่สำคัญคนที่ถูกคัดมาส่วนใหญ่จะเลือกเด็กสาววัย 13-14 ปี เพื่อนำมาตอบโจทย์ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีรสนิยมวิตถาร “ใคร่เด็ก”สำหรับหญิงไทยมีแน่นอน เคยมีการยื่นกระดาษขอความช่วยเหลือจากลูกค้าที่มาใช้บริการ “พี่ หนูถูกหลอกมาขาย ช่วยหนูด้วย” ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือเช่นไร อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบสถานการณ์ในตอนนี้คือ จากเหตุการณ์ที่ทางการจีนส่งขุนพลมาทลายคอลเซ็นเตอร์ตามพรมแดน ได้ส่งผลให้บรรดาธุรกิจสีเทามีการขยับตัว สถานบริการหลายแห่งส่งสาวไทยกลับบ้าน “ทั้งหมด” เพราะไม่อยากมีปัญหา กลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศถามเรื่องนี้ว่าใครคือตัวใหญ่ที่ดูแลธุรกิจอาบอบนวดสีเทา เรื่องนี้มีรายงานไม่ยืนยันว่า เอาเข้าจริงทางการทราบตัวละครหลักๆบางส่วนแล้ว และพวกที่ถูกจับกลับไปส่วนใหญ่จะเป็น “นอมินี” ที่มารับความผิดแทนโดยตัวใหญ่พวกนี้ยังคงกบดานฝังลึกอยู่ในภูมิภาค เพียงแต่อุปสรรคยังมีอยู่มาก ใช่จะไปเอาตัวมาได้ง่ายๆ ต้องฝ่าด่านอิทธิพลหลายขั้นตอน ทั้งยังเจอกับ “การไม่ได้รับความร่วมมือ” ซึ่งทำให้ระหว่างนี้สถานบริการสีเทาบางส่วน มีโอกาสในการปิดตัวเพื่อย้ายทำเลไปเปิดในที่ปลอดภัย พ้นหูพ้นตาเจ้าหน้าที่ชุดไล่ล่าระหว่างประเทศ.ทีมข่าวต่างประเทศคลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม