กลายเป็นเรื่องราวครั้งประวัติศาสตร์ หลังเมื่อวันที่ 15 ม.ค. “ยุน ซอกยอล” ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ถูกจับกุมตามหมายจับในกรณีที่ไม่ยอมไปให้ปากคำถึง 3 ครั้ง จากการใช้กฎอัยการศึกว่าเป็นการก่อกบฏและใช้อำนาจโดยมิชอบ ถือเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรกที่ถูกจับกุมขณะที่ยังดำรงตำแหน่งสื่อท้องถิ่นเกาหลีใต้รายงานด้วยว่า การสอบปากคำยุน ซอกยอล โดยมีทนายคือยุน กับกึน ร่วมสังเกตการณ์ เริ่มต้นขึ้นในเวลา 11.00 น. ของวันที่ 15 ม.ค. ที่สำนักงานสอบสวนการคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่ระดับสูง (CIO) ในเมืองกวาชอน จังหวัดคยองกี ภายในห้องสอบปากคำหมายเลข 338สำหรับการสอบปากคำในช่วงเช้า ดำเนินการโดยอี แจซึง รองหัวหน้าซีไอโอ มีการเตรียมเอกสารสำหรับใช้สอบปากคำเล่มหนาถึง 200 หน้า เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าในการประกาศใช้กฎอัยการศึกที่ผ่านมานั้นได้เตรียมการและดำเนินการอย่างไร รวมถึงมีการวางแผนไว้หรือไม่ว่าจะมีการต่ออายุคำสั่งใช้กฎอัยการศึกสุดท้ายการสอบปากคำในช่วงเช้าเป็นเวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที ก็สิ้นสุดลงโดยที่ซีไอโอถึงกับคิดหนัก เนื่องจากแทบไม่ได้ข้อมูลอะไรมากมาย เหตุเพราะยุน ซอกยอลเลือกใช้สิทธิที่จะไม่พูด แต่การสอบสวนยังดำเนินต่อไปโดยมีอัยการอย่างอี แดฮวาน และชา จองฮยอน เป็นผู้ดำเนินการสอบปากคำในช่วงบ่าย และสิ้นสุดในเวลาประมาณ 21.40 น. รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมด 10 ชั่วโมง 40 นาที ซึ่งขณะนั้นยุน ซอกยอล ก็ไม่ได้ตรวจดูหรือลงนามในเอกสารบันทึกการให้ปากคำ และการไม่ลงนามนี้จะส่งผลให้เอกสารเหล่านี้ไม่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจคือระหว่างสอบปากคำ อี แจซึง ยังคงเรียกยุน ซอกยอลว่า “ท่านประธานาธิบดี” ซึ่งเมื่อย้อนดูประวัติการศึกษาพบว่า ทั้งคู่จบการศึกษาด้านกฎหมายจากสถาบันเดียวกันคือมหาวิทยาลัยโซล แต่ดูเหมือนจะไม่เคยร่วมงานด้วยกันมาก่อนในสมัยที่ยุน ซอกยอลยังปฏิบัติหน้าที่เป็นอัยการ.ญาทิตา เอราวรรณคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม