เรื่องราวของหญิงสามัญชนได้แต่งงานกับเจ้าชาย กลายเป็น “ซินเดอเรลลาผู้โชคดี” ไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งเสมอไป เพราะมีซินเดอเรลลาจำนวนไม่น้อยบนโลกใบนี้ที่ไร้ความสุขกับการได้เป็น “เจ้าหญิงพระชายาของกษัตริย์”ลือลั่นสุดก็เห็นจะเป็น “เจ้าหญิงชาร์ลีนแห่งโมนาโก” ทรงหนีออกจากวังหลวงหลายครั้ง รวมถึงครั้งล่าสุด ที่หนีกลับบ้านเกิดในแอฟริกาใต้นานกว่า 8 เดือน และไปปักหลักอยู่สวิตเซอร์แลนด์อีก 4 เดือนเต็ม ปลุกกระแสให้เกิดข่าวสะพัดถึงสัมพันธ์ง่อนแง่นระหว่าง เจ้าหญิงกับพระสวามีผู้มากรัก “เจ้าชายอัลแบร์ที่สองแห่งโมนาโก” แม้ภายหลังจะออกมาเฉลยว่าสาเหตุที่ต้องทิ้งพระโอรสพระธิดาคู่แฝดไปแรมปี ก็เพื่อรักษาอาการป่วยที่รุมเร้าในช่วงวิกฤติโควิด“เจ้าหญิงชาร์ลีน” พระชนมพรรษา 44 พรรษา เสด็จกลับมายังโมนาโกแล้ว เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และเริ่มออกปฏิบัติพระกรณียกิจพร้อมพระสวามี, พระโอรส และพระธิดา ในเดือน เม.ย. แต่สื่อฝรั่งเศสก็ยังตามขุดคุ้ยไม่เลิก โดยมีรายงานข่าวจากนิตยสารกอสซิปชื่อดังของฝรั่งเศส “Voici” ว่า ประมุขแห่งโมนาโกถูกกดดันให้เซ็นสัญญาลับสุดยอดเพื่อแลกกับการเสด็จกลับวังหลวงของ “เจ้าหญิงพระชายา” โดยหนึ่งในข้อตกลงลับที่ว่ารวมถึงการที่ “เจ้าชายอัลแบร์ ที่สอง” ทรงต้องควักกระเป๋าจ่ายพระชายาปีละ 12 ล้านยูโร เพื่อแลกกับการกลับมาออกงานปฏิบัติพระกรณียกิจเคียงข้างพระองค์ สอดคล้องกับรายงานข่าวก่อนหน้าของ “Paris Match” ที่ระบุว่า “เจ้าชายอัลแบร์ที่สอง” ทรงจ่ายเงินก้อนโตให้พระชายา เพื่อแลกกับการออกงานคู่พระองค์กระนั้น แค่งานแรกที่ปรากฏตัวต่อสาธารณชน เสด็จพร้อมหน้าพระสวามี และพระโอรสพระธิดาคู่แฝด ไปร่วมการแข่งขันรถฟอร์มูล่า E ชิงแชมป์โลก ที่โมนาโก เมื่อปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ใบหน้าที่อมทุกข์ของ “เจ้าหญิงชาร์ลีน” ก็บ่งบอกได้ชัดถึงความไร้สุขของนกน้อยในกรงทองสื่อใหญ่อย่าง “เดลี่ เมล์” เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากายมาวิเคราะห์เป็นฉากๆว่า ดูจากการแสดงออกของร่างกาย ซึ่งปกปิดความรู้สึกแท้จริงได้ยาก บ่งบอกชัดว่า “เจ้าหญิงชาร์ลีน” ทรงรู้สึกอ้างว้างและเหินห่างจากพระสวามี ผู้มีพระชนมพรรษาแก่กว่า 20 ปี แม้จะพยายามฝืนยิ้ม แต่สีหน้ากลับอมทุกข์, เต็มไปด้วยความวิตกกังวล, มุมปากตก และแววตาเศร้าหมอง ไม่แม้กระทั่งจะสบตากับพระสวามี บางขณะโอบกอดพระธิดาแน่นแสดงให้เห็นถึงความรักความหวงแหน พร้อมลูบคลำแหวนแต่งงานราวกับจะเตือนตัวเองไม่ให้ลืมหน้าที่ของพระชายาความเหินห่างเย็นชาของ “เจ้าหญิงชาร์ลีน” ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เคยรับสั่งเป็นนัยๆว่า ปี 2019 เป็นปีแห่งความเจ็บปวด พอผ่านมาถึงปี 2020 ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น เจ้าหญิงอดีตนักว่ายน้ำโอลิมปิกยอมรับว่า ต้องเผชิญกับเรื่องแย่ๆมากมายในปี 2020 จนอยากจะลบออกจากความทรงจำ แม้ไม่ระบุชัดว่าเจ็บช้ำเรื่องใด แต่ทราบกันดีว่า “เจ้าหญิงชาร์ลีน” หนีออกจากโมนาโกครั้งล่าสุด หลังมีกระแสข่าวว่า พระสวามีทรงถูกฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรอีกแล้ว คราวนี้เป็นหญิงนิรนามชาวบราซิล อ้างว่ามีบุตรสาว วัย 15 ปี กับประมุขโมนาโก ซึ่งขณะนั้นเจ้าชายทรงเป็นแฟนกับเจ้าหญิงแล้ว แต่ทั้งคู่ยังไม่ได้อภิเษกสมรสก่อนหน้านี้ ประมุขแห่งโมนาโกทรงเคยโดนฟ้องในคดีลักษณะเดียวกันมาแล้ว 3 ครั้ง โดยลงเอยด้วยการตรวจดีเอ็นเอ และยอมรับในที่สุดว่า 2 ใน 3 เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์จริง จนถึงขณะนี้ทรงให้การอุปถัมภ์ลูกนอกสมรสอยู่ 2 คน ลูกสาวคนแรกเกิดจากความสัมพันธ์กับนายหน้าอสังหาฯชาวมะกัน ส่วนลูกชายคนที่สองเป็นพยานรักระหว่างเจ้าชายกับแอร์โฮสเตสผิวสีของสายการบินแอร์ฟรานซ์ ที่โป๊ะแตกเพียงไม่กี่วันก่อนเจ้าชายเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกย้อนไปในช่วงก่อนเข้าพิธีอภิเษกสมรส เมื่อปี 2011 เจ้าหญิงก็เคยหนีออกจากวังหลวงมาแล้ว แม้สุดท้ายจะตามตัวกลับมาเป็นเจ้าสาวได้ทันเวลา โดยระหว่างพิธีเจ้าหญิงดูหมองเศร้าไม่ต่างจากสีหน้าในวันนี้เลย...น่าเสียดายเลิฟสตอรีของเจ้าชายกับเจ้าหญิงที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งคงมีแต่ในเทพนิยาย.มิสแซฟไฟร์