เหตุภูเขาไฟระเบิดนอกจากจะส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนในพื้นที่แล้ว ก็ยังส่งผลถึงการสัญจรทางอากาศเช่นกัน เหมือนกับกรณีภูเขาไอยาฟิยาโยคุล ในไอซ์แลนด์ เมื่อปี 2553 ที่การคมนาคมภูมิภาคยุโรป ต้องหยุดชะงักไปเกือบครึ่งทวีปซึ่งเมื่อ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ก็เป็นคราวของภูเขาไฟ “เซเมรู” บนเกาะชวา ของประเทศอินโดนีเซีย ที่การปะทุพวยพ่นเขม่าออกมาเป็นจำนวนมหาศาล ได้ส่งผลให้หน่วยงานเฝ้าระวังของออสเตรเลียออกมาประกาศเตือนให้สายการบินต่างๆเช็กเส้นทางการบินให้ดี เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้แม้สถานการณ์ระบาดของไวรัสมรณะโควิด-19 จะทำให้เที่ยวบินไม่ขวักไขว่เต็มท้องฟ้าเหมือนก่อน แต่เขม่าควันที่ถูกพ่นออกมา ย่อมส่งผลกระทบต่อการบินในพื้นที่ดังกล่าวอย่างแน่นอน โดยกรณีนี้ผู้เชี่ยวชาญได้อธิบายผ่านสำนักข่าวบีบีซีว่า สิ่งที่อันตรายที่สุดของการบินผ่านพื้นที่เขม่าภูเขาไฟ คือปัญหาที่จะเกิดกับเครื่องยนต์ไอพ่น เนื่องจากละอองจะเต็มไปด้วยธาตุซิลิเกต ซึ่งเมื่อเจอกับความร้อนของไอพ่นเครื่องยนต์จะเกิดการหลอมละลาย ก่อนจับตัวแข็งเคลือบส่วนอื่นๆของเครื่องยนต์ ที่ดูแล้วจะเหมือนถูกเคลือบแก้วเมื่อกรณีนี้เกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการอุดหรือตีบตันของช่องระบายลมของเครื่องยนต์ และทำให้เครื่องยนต์สูญเสียความเร็ว หรือดับกะทันหันกลางอากาศได้ ไม่รวมถึงเรื่องเขม่าควันจะบดบังทัศนวิสัยของนักบิน หรือกระทบคุณภาพอากาศในห้องผู้โดยสารถึงตลอดที่ผ่านมาจะยังไม่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมทางการบินจากปัญหาเขม่าควันภูเขาไฟ แต่ก็เคยมีเรื่องระทึกขวัญมาแล้วเมื่อปี 2525 เครื่องโบอิ้ง 747 สายการบินบริติช แอร์เวย์ส เที่ยวบินมาเลเซียไปออสเตรเลีย พร้อมผู้โดยสาร 247 คน ได้แปรสภาพกลายเป็นเครื่องร่อน เครื่องยนต์ 4 ตัวดับกลางอากาศ เนื่องจากนักบินไม่ทราบว่าได้เกิดเหตุภูเขาไฟระเบิดที่อินโดนีเซีย ซึ่งตอนนั้น นักบินได้ลดระดับความสูงจาก 11,300 เมตร ลงมาเหลือ 3,650 เมตร ก่อนที่เครื่องยนต์จะกลับมาทำงานอีกครั้ง หรืออีกเหตุที่คล้ายคลึงกันเมื่อปี 2532 เที่ยวบินเคแอลเอ็มของเนเธอร์แลนด์ ดับกลางอากาศหลังผ่านพื้นที่เขม่าควันของภูเขาไฟในรัฐอลาสกา สหรัฐฯกรณีทั้งหมดนี้ เกิดที่ระดับเพดานบินสูง ซึ่งนักบินมีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ แต่ถ้าเกิดช่วงที่กำลังทะยานเทกออฟ หรือร่อนลงจอดที่สนามบิน ก็ไม่อยากจะคิดเหมือนกันว่าจะเป็นเช่นไร!?ตุ๊ ปากเกร็ด