ครั้งนี้ “เจ๊หม่า” อยากเล่าถึงความทะเยอทะยานของมนุษย์จากที่เคยรวยล้นฟ้าติดอันดับฟอร์บส์ มีภรรยาสวยระดับนางงาม กลับต้องมาร่วงหล่น ใช้ชีวิตที่เหลือหมดสิ้นอิสรภาพอยู่ในแดนคุกเด็กคนหนึ่ง จากครอบครัวเกษตรกรชาวเม็กซิกัน ในรัฐซินาลัว ที่มีคำตอบแล้วว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร?” ก็ทำตามฝัน อายุ 15 ไปปลูก กัญชากับฝิ่น ก่อนมุ่งสู่โลก “อโคจร” อย่างจริงจัง... นายฮัวคิน กุซมาน โลเอรา “เอล ชาโป” เจ้าของฉายา “ไอ้เตี้ย” ด้วยความสูงต่ำกว่ามาตรฐานชายสากลไม่ถึง 165 ซม. ตั้งแก๊ง “ซินาโลอา” ตามชื่อรัฐทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ด้วยนิสัยกล้าได้กล้าเสียและเคยเป็นลูกน้อง นายมิเกล อังเคล เฟลิกซ์ กาญาร์โด มาเฟียเก่าแก๊ง “กวาดาลาฮารา” ทำให้ ผงาดจนได้ชื่อว่า เป็นขบวนการค้ายาเสพติดใหญ่ที่สุดในโลกเพราะแก๊ง “ซีนาโลอา” ขยายอิทธิพลกระจาย ยาเสพติดเกือบทุกชนิดไปทั่วโลกกว่า 50 ประเทศ มีรายได้เฉพาะปี พ.ศ. 2555 มากถึง 99,000 ล้านบาท ทำให้นิตยสารฟอร์บส์ถึงกับจัดอันดับให้ติดอันดับมหาเศรษฐีโลก เพราะมีทรัพย์สิน 33,000 ล้านบาท แต่สุดท้ายชีวิตที่เคยมีทั้งกิน-กาม-อำนาจ ผ่านความเหี้ยมอำมหิตเชือดคู่แข่งนับร้อยด้วยวิธี การสุดโหด ราชายาเสพติดคนนี้ก็เป็นอีกรายที่สุดท้ายปลายทางของชีวิตก็จบไม่สวย เพราะปัจจุบันอายุ 61 ปี ถูกคณะลูกขุนของศาลนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ลงมติให้มีความผิดทุกข้อหา 10 กระทง ทั้งลักลอบขนยาเสพติดเข้าสหรัฐฯ ฟอกเงิน ครอบครองอาวุธปืน เตรียมรับฟังคำตัดสินของศาลที่จะให้จำคุกตลอดชีวิต 25 มิ.ย.นี้ แล้วจับส่งไปอยู่ที่ เรือนจำสหพันธรัฐในเมืองฟลอเรนซ์ รัฐโคโลราโด ที่มีการคุ้มกันแน่นหนาจนได้ชื่อว่า อัลคาทราซแห่งเทือกเขาร็อกกี้ และซุปเปอร์แม็กซ์โอกาสที่จะแหกคุกเหมือนในเม็กซิโก (ด้วยวิธีดราม่าราวกับฉากในหนังปี พ.ศ.2544 กับ พ.ศ.2558 ทั้งแอบอยู่ในตะกร้าผ้าที่จะส่งซัก ไปอยู่กับลูกเมียและสมุนนาน 13 ปี กับอีกครั้งที่ลูกน้อง ซึ่งถูกส่งไปศึกษาวิธีถึงเยอรมนี ขุดอุโมงค์ลึกเกือบ 10 ม. ความยาว 1.5 กม.ที่ติดตั้งระบบระบายอากาศพร้อมเจาะทะลุไปถึงมุมห้องน้ำภายในห้องคุมขัง แล้วเอล ชาโป ก็ฉวยจังหวะดำดินลงบันไดในสภาพล่อนจ้อน ขี่มอเตอร์ไซค์ดัดแปลงบนราง) “เจ๊หม่า” ว่าปิดประตูล็อกกลอนล่ามโซ่ไปได้เลย แล้วก็นับเป็นผลงานติดโบยักษ์ของสหรัฐฯ หลังพลาดพลั้ง “ปาโบล เอสโกบาร์” อดีตราชายาเสพติดชาวโคลอมเบีย ที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐยิงวิสามัญฯ ขณะหนีออกทางหน้าต่างเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ปี 2536 จนถูกนำไปสร้างเป็น ภาพยนตร์เรื่อง “Loving Pablo ปาโบล เอสโกบาร์ ด้วยรักและความตาย” ฝีมือ เฟอร์นันโด เรยอง เดอ อลานัวร์ ผู้กำกับฯชื่อดังระดับมือรางวัลของชาวสเปน ที่ดัดแปลงชีวิตจริงจากหนังสือสารคดีเรื่อง Loving Pablo, Hating Escobar เขียนโดยเวอร์จิเนีย วาเจโอ อดีตพิธีกรข่าวสาว และเป็นกิ๊กของเอสโกบาร์ ในเรื่องรับบทเด่นชั้นเซียนโดยฮาเวียร์ บาร์เด็ม กับเพเนโลเป ครูซวิถีชีวิตค้าขายยาเสพติดของสองคนเกือบจะคล้ายคลึงกัน เพียงแต่เอล ชาโป ไม่ได้กระโดดลงสนามเล่นการเมืองเหมือน ปาโบล นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่มาจากเกษตรกรปศุสัตว์ ความทะเยอทะยาน “รวยทางลัด” หากินด้วยอาชีพผิดกฎหมาย วิธีการส่งโคเคนเข้าสหรัฐฯ ไม่เล่น ยา การถูกจัดอันดับให้เป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยที่สุด ในโลก “ฮาเวียร์” (รับบทนี้ ทุ่มเทการแสดงด้วยวิธี “เมธอด” หรือวิธีแสดงเข้าถึงตัวละคร ปล่อยตัวให้อ้วน พุงพลุ้ย+สีหน้า แววตา ทรงผม วิธีเดิน) ตามท้องเรื่อง ใช้เงินทุ่มซื้อนักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพื่อให้สภาคองเกรสผ่านมติร่างกฎหมายเลิกส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนให้สหรัฐฯ กระทั่งเสนอเงื่อนไขกับรัฐบาลกับการแลกไม่ต้องส่งตัวไปดำเนินคดีที่สหรัฐฯ โดยขอมอบตัวแล้วสร้าง อาณาจักรคุก “ลา คาเทดราล” ที่อำนวย ความสะดวกสบายทุกอย่างในระดับเฟิสต์คลาส สามารถค้ายา ให้คนมาเยี่ยมเข้า-ออกได้ตลอด ยกเว้นสิ่งเดียวที่ทำไม่ได้คือ การพาลูกสาวตัวเล็กออกไปซื้อไอศกรีมกินข้างนอกซึ่งไม่เฉพาะหนังเรื่องนี้ แต่ยังมีอีกหลายคน นำอัตชีวประวัติของเขาไปสร้าง ทั้งแนวสารคดี และภาพยนตร์ รวมเน็ตฟลิกซ์ เรื่อง Narcos กับแนวสารคดีเรื่อง Drug Lords ในมุมมองที่ถ่ายทอดต่างกันกับการเป็น “นักบุญ” และ “คนบาป” ส่วนของเอล ชาโป ก็มีซีซันเรื่องตามชื่อฉายาในเน็ตฟลิกซ์ เริ่มออกตอนแรกเมื่อ 2 ปีก่อนก่อนหน้าเอล ชาโป ก็เคยติดต่อผ่านนักข่าวสาว เพื่อพูดคุยกับฌอน เพนน์ นักแสดงฮอลลีวูด ให้นำชีวิตตัวเองไปสร้างเป็นหนัง แต่ยังไม่ถึงฝันก็ถูกรวบตัวได้เสียก่อน เพนน์ก็เลยนำเรื่องราวการสัมภาษณ์ทั้งหมดไปลงในนิตยสาร “โรลลิ่ง สโตน”ภายใต้ข้ออ้างต่างๆ ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นพ่อค้ายาเสพติดตัวอันตราย แต่เขาก็ยืนยันว่า ตัวเองเป็นแค่เกษตรกร ตายไปก็มีคนอื่นที่พร้อมจะขึ้นมาป้อนตลาด “ความต้องการ” เสพติดสูง ซึ่งคุ้มกับรายได้สุดหอมหวนไม่เคยจืดจาง ด้วยระหว่างคนขายยากับคนซื้อยา ผูกพันวนเวียนอยู่ในหมอกควันแห่งแรงปรารถนาของมนุษย์ ซึ่งคงเป็นเรื่องยากที่จะตัดวงจรอุบาทว์นี้อย่างหมดจดได้...ตราบใดที่จิตใจของมนุษย์ยังคงโหยหาที่จะเสพติดอะไรบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา.@เจ๊หม่า