พกความดุดันไม่เกรงใจใคร! สำหรับ จา-พนม ยีรัมย์ หรือ โทนี่ จา นักแสดงนักบู๊ขวัญใจชาวไทย มาพร้อมผลงานภาพยนตร์โกอินเตอร์เรื่องล่าสุด “Expendables 4 โคตรคน ทีมมหากาฬ” ที่ควงคู่ เจสัน สเตแธม บู๊เคียงบ่าเคียงไหล่ โชว์ความระห่ำกว่าทุกภาค เอ็ม พิคเจอร์ส จัดให้ดูภาพยนตร์ก่อนใคร เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ โดย จา-พนม มาร่วมงานกาลา พรีเมียร์ ที่ลานอินฟินิซิตี้ ฮอลล์ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ พร้อมเปิดใจถึงการทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย “หนังในเรื่องนี้ผมมีส่วนร่วมตั้งแต่ดูบท ภูมิใจมากๆ หนังเรื่องนี้เรารอมานาน Expendables 4 รวมดาราที่เป็นไอดอลเราทั้งหมดเลย ในเรื่องเล่นเป็นเดชา เป็นหน่วยรบพิเศษแต่ออกจากวงการมาเป็นกะลาสี มีเรือประจำตำแหน่งชื่อจินตหรา ได้แชร์ไอเดียความลึกของตัวละครแต่ยังคีพคาแรกเตอร์ของเราไว้ เป็นท่าแม่ไม้มวยไทย มวยไทย กระบี่กระบองและมีดสั้น ผู้กำกับเค้าเอาอาวุธทั้งหมดมาโชว์ แต่เค้าบอกโทนี่ไม่ต้องใช้เพราะโทนี่มีอาวุธอยู่แล้ว มีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว เขาไม่ให้อาวุธแต่ให้ใช้ร่างกายของเรา มีดสั้น เราก็ใส่รอยสักมีอักขระ จะเป็นการต่อสู้แบบเงียบๆมีชั้นเชิงดุดันด้วยแม่ไม้มวยไทยเหมือนแรมโบ้ มีความแสบๆกวนๆ เหมือน แจ็ค สแปร์โรว์ ทางทีมแจ๊กกี้ชานคิดท่าทางการต่อสู้ เขาดูหนังองค์บาก ต้มยำกุ้ง บู๊สไตล์ของเราอยู่แล้ว ทำยังไงผสมผสานกันให้มันเข้าคู่กับเจสันให้ลงตัวที่สุด”ภาคนี้มีความเจ็บตัวอะไรขนาดไหน“น่าจะเป็นเรื่องอากาศหนาวมาก ลบ 10 องศา เราวอร์มไม่ถึงทำให้กล้ามเนื้ออักเสบได้ ความหนาวเย็นมากๆ เท้าเปื่อยเพราะเจอหิมะ ส่วนแอ็กชัน เราดีไซน์คาแรกเตอร์ ครีเอตบทสนทนาที่เราจะต้องใส่เข้าไป จะใช้คำที่คล่องปากเข้าใจง่าย บทพูดก็จะเป็นภาษาอังกฤษแต่เราแอ็กเซนต์แบบคนไทย สำเนียงไม่จำเป็นต้องเป๊ะ”มีแอบกังวลเรื่องสำเนียงไหม“ตอนแรกกังวลนะจะสำเนียงบริติช อังกฤษมั้ย หรืออีสานบ้านเรา ไม่ได้ๆ (หัวเราะ) แต่พอได้คุย คาแรกเตอร์เป็นแบบนั้นอยู่แล้วก็เลยสบายใจขึ้น”ฉากไหนในภาพยนตร์ ที่รู้สึกยากที่สุด“ฉากไฮไลต์ที่เป็น ฉากบนเรือ ผมต้องต่อสู้กับนักแสดงประมาณ 20-30 คน มีผู้กำกับและเจสันมาช่วยกันออกแบบเพราะว่าต้องเข้าคู่กันและเป็นบัดดี้ที่ต้องต่อสู้ คุณขึ้นสูงเราลงล่าง เราขึ้นคุณลง ผนวกกับอาวุธปืนด้วย มันค่อนข้างคิวต้องป๊ะ เจสันเค้าค่อนข้างละเอียดมาก เราต้องซ้อมทีมแอ็กชัน เลยเอาเดี่ยว-ชูพงษ์ ไปร่วมในการคิดครีเอตท่าและเป็นส่วนหนึ่งในหนังเรื่องนี้” พอร่วมงานกับเจสันได้เห็นมุมการทำงานของเค้ายังไงบ้าง“ตอนนี้เขาขยับเป็นโปรดิวซ์ วิธีการคิดปรับเปลี่ยนมุมมองให้มันกว้างขึ้น แต่ก่อนยัง ภาค 1-2-3 เน้นปืนแต่หนังเรื่องนี้ใส่ความเป็นศิลปะป้องกันตัว ใส่ความเป็นไทยเยอะและมีกังฟู มีความเป็นเอเชียเข้ามา มันเป็นความแตกต่างของหนังและเปลี่ยนมุมมอง”ในเรื่องเราใช้ร่างกายด้วยอายุเราเป็นอุปสรรค“เราก็ทำในสิ่งที่เราทำได้ เพราะเราต้องฟิตซ้อมร่างกายอยู่เสมอ เราออกแบบอันนี้ทำได้เราก็ขายไอเดียกับเค้าไป ผมทำได้นะ ก็มีถามๆยังทำได้ท่านี้ ท่าต้มยำกุ้ง เตะสูง ผมยังก็ โอเคมั้ย ผมทำให้ดู กระโดดเตะบนลังไม้ที่มีความสูงแล้วมีคนยืนอยู่ข้างบนกระโดเตะให้ถูกปืน หมุนตัวเตะตัดขา ซึ่งเป็นสกิลที่สูงมาก ประมาณ 10 เทกได้”ยังคงคอนเซปต์โนสแตนด์อินเหมือนเดิมมั้ย“สแตนด์อินเขากำหนดไว้เลยว่าสตันต์มีอยู่ 3 คนรองรับ เป็นคอนแทกต์ ที่ต่างประเทศเค้าทำ อันไหนที่เราทำเห็นหน้าเราชัด เราต้องเล่น ต้องมีสแตนด์อิน อันที่มันเสี่ยงไม่จำเป็นเพราะเป็นมาตรฐานสากลระดับฮอลลีวูด ของเราลุยๆ แต่ไม่ได้” ครอบครัวหรือลูกๆมีบอกพ่อเบาๆบ้างมั้ยใจเราเกินร้อย“มีบ้างครับ แต่ลูกๆก็มีพูด หูย ปาป๊าเตะโน่นนั่นนี่ ด้วยวัยเค้าตอนแรกๆชอบนะแต่หลังๆจะเป็นห่วงก็ธรรมดา แต่ก็ห้ามไม่ได้ เราทำในสิ่งที่เราทำได้”จาจะเป็นคนนึงที่ผลักดันศิลปะแม่ไม้มวยไทย วัฒนธรรมไทย จนกลายเป็นซอฟต์เพาเวอร์ไทยรู้สึกยังไงบ้าง“ตอนแรกๆ เราก็ไม่รู้ ไม่ได้คิด แต่หลังๆกระแสไปอย่างนั้นจริงๆ แล้วต่างชาติได้ดูหนัง มันก็เหมือนเผยแพร่วัฒนธรรมไปในตัว คนดูหนังก็ได้แรงบันดาลใจ มีเมสเสจออกมาเค้าก็มีกำลังใจ อย่างองค์บากมีคาแรกเตอร์เค้าก็เลียนแบบ เค้าก็ตั้งใจฝึกฝนสิ่งเหล่านี้เป็นพีอาร์ของประเทศเลยนะ เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เราก็ทำมาเรื่อยๆ อย่างในบทหนังเราก็เห็นตัวละครมีความเชื่อเรื่องของจิตวิญญาณ เครื่องรางของขลัง มวยไทยมันมีอยู่แล้ว เราไปต่างประเทศเอาของที่ระลึกไปแจกเขา ไปเจอคนไทยเค้าก็ให้ สิ่งนี้นำเสนอออกไปเขาพูดปากต่อปาก เราทำหน้าที่ของเราปกติ เป็นอัตลักษณ์ของเรา มีเอาตะกรุดของขลัง พระ ไปแจกคนในกองถ่ายในทีมงาน ให้พระขุนแผน ให้ทุกคน เป็นความเชื่อของผมสิ่งนี้เรื่องพระพุทธศาสนา เรื่องของวัฒนธรรมไทย เพราะมวยไทยมีความเชื่อเรื่องคู่บาอาจารย์ จริงๆเราได้พลังความเชื่อ เราไม่ได้เป็นคนเก่งหรอกแต่เรามีครูบาอาจารย์ ทำให้เรามีพลัง เวลาเราท้อทำให้เรานึกถึงสิ่งสิ่งนี้เป็นกำลังใจให้เรา กำพระเป็นกำลังใจให้เราเป็นเพราะเรามีเป้าหมายทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งนี้เป็นพลังให้เรา เป็นสิ่งที่คุ้มครองดูแลเราอยู่”ตั้งเป้าหมายการทำงานยังไงบ้าง“ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถ้ามีงานต่างประเทศมาเราดูงานต่างประเทศ งานเมืองไทยเราก็กำลังรวมสมัครพรรคพวกสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของไทย”สร้างหนังเหรอ“อาจจะมีครับ เราได้คุยกับเพื่อนๆ หลายคนต้องดูสตอรีเพราะหนังไทยแอ็กชันหายไป น่าจะกลับมาบุกเบิก กำลังคุยกับคนที่มีแนวทางความคิดเหมือนกัน มีพรรคพวกที่เมืองจีน ทุกคนมีถามทำไมแอ็กชันหนังไทยหายไป นั่นคือบ่งบอกความเป็นแอ็กชันไทยไปสู่สายตาชาวโลก เขารอดูอยู่แต่เราไม่ได้ผลิตออกไป มันก็ค่อยๆหายไปเรื่อยๆ เราเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ” ทุกวันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จหรือยัง“ผมถือว่าประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจแล้วนะ ถามว่าคือเราไปฮอลลีวูดเราไปปักธงเอาไว้ ผมมีความรู้สึกภาคภูมิใจ ไม่คิดไม่ฝันจะได้ไปถึงจุดตรงนั้น มันมีความภาคภูมิใจ หนังไทยไปเผยแพร่ทั่วโลก การเดินทางตั้งแต่เด็ก เรามองอยากนั่งเครื่องบินให้ได้ แต่ตอนนี้นั่งเครื่องบินบางทีคิดถึงบ้าน น้านนาน บางทีคิดถึงครอบครัว แต่เราก็เข้าใจนั่นคือหน้าที่คือสิ่งที่เราต้องทำ ทำให้เราเดินหน้าต่อไป คนดูแฟนคลับติดตามมุ่งหน้าทำต่อไป ถามว่าสำเร็จมั้ยผมพอใจในสิ่งที่ทำแล้ว เลือกทำสิ่งที่เรามีความสุข ไม่ใช่ไปกดดัน เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว”มีความคิดเกษียณตัวเองใช้ชีวิตเรียบๆทำไร่ทำนาบ้างมั้ย“ไม่มีๆ ที่จริงผมเป็นคนธรรมดาคนนึงเดินไปไหนมาไหนก็ได้นะ กลับไปบ้านเป็นตัวเอง เป็นจา พนม คนเดิม ผมมีความสุขได้นั่งดูบรรยากาศเดิมๆได้ดูหนังกลางแปลง ผมไปสร้างพระพรหม ไหว้ครูบาอาจารย์ เป็นสิ่งที่เราอยากทำแล้วมีความสุข จริงๆความยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องเลิศหรู เพอร์เฟกต์ทุกอย่าง แต่ความยิ่งใหญ่มันอยู่ในใจของเรา อยู่ที่ใจของเรา เรามีความสุข มีความพอกับมันเลยคิดอะไรง่ายๆ แต่เวลาทำต้องตั้งใจทำ”ก่อนหน้านี้จาสอนไหว้ครูมวยไทยให้กับแจ็คสัน หวัง รู้จักกันได้ยังไง“มีคนถามเค้าว่ามาเมืองไทยอยากเจอใคร เค้าบอกอยากเจอโทนี่ จา คลาดเคลื่อนมา 2 ครั้งแล้ว ครั้งที่ 3 พอดีผมว่างเลยได้เจอกันแล้วผมเอาวัตถุมงคลไปให้เค้า นี่คือครูบาอาจารย์เรา ท่าเทพพนมพรหมสี่หน้าเป็นสิ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ มอบให้เค้าและสอนมวยไทยให้แจ็คสันเป็นคนเฟรนด์ลีมากๆ ผมก็บอกเค้าขอบคุณนะที่ทำให้คนไทยมีความสุข มีรอยยิ้ม ยูมีแฟนคลับคนไทยรักยูมากนะ”.ภาพ : สุรกิจ แก้วมรกต