ถูกโยงเป็นพระเอก ก. ที่พระเอก “อาร์ต–พศุตม์ บานแย้ม” ออกมาเปิดเผยว่าในอดีตเคยโดนเพื่อนร่วมช่องแทงข้างหลัง “หมอก้อง–นพ.สรวิชญ์ สุบุญ” ร่วมงานแถลงข่าวเดิน-วิ่งการกุศล “ก้าวด้วยธรรม ก้าวด้วยใจ สร้างอาคารโรงพยาบาล” ครั้งที่ 7 ที่วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร บางลำพู เปิดใจ ประเด็นความในใจของอาร์ต–พศุตม์ คนโยงว่าเป็นเรา?“ตอนแรกที่ฟังผมก็มีความรู้สึกว่าหมายถึงเราหรือเปล่า ผมก็คิดอยู่เพราะว่าเหมือนรายละเอียดที่อาร์ตให้มามันก็เดาได้ไม่กี่คน ผมก็คิดว่าสิ่งที่อาร์ตพูด ถ้าผมจะรู้เรื่องผมรู้อยู่เรื่องเดียวคือที่อาร์ตบอกว่าเราพูดเรื่องของเค้า ณ ตอนนั้นผมยอมรับว่าพูดเรื่องของเค้า ตอนที่เค้ามีประเด็นออกจากช่อง 3 ก็คุยเรื่องที่อาร์ตออกจากช่อง ทุกคนก็รู้ แล้วเราก็ไม่ได้คุยคนเดียวคือมีคนมาเล่า วันนั้นก็มีนักแสดงอยู่เต็มไปหมดเลย ก็มีคนมาเล่าว่าอาร์ตออกไปแล้ว เราก็อ้าว! อาร์ตออกไปแล้วเหรอ ด้วยความที่ผู้จัดการคนเดียวกัน อาร์ตออกไปแล้วเราก็คุยตรงนั้น แต่คราวนี้อาร์ตจะรู้จากใครว่าเราพูดว่าอะไรผมไม่รู้ ส่วนในเรื่องอื่นๆของอาร์ตผมไม่รู้เรื่องเลย ผมก็เลยรู้สึกว่าตกลงใช่หรือไม่ใช่ ถ้าเกิดว่าดูจากรายละเอียดคือผมไม่รู้เรื่อง”เราสนิทกันมั้ย?“คือเรามาด้วยกัน มาจากการประกวด ด้วยกัน ช่อง 3 หานักแสดงปี 2008 ถึงวันนี้ก็ 15 ปีแล้ว ปีนั้นประกวดไม่เสร็จช่องก็เอานักแสดงมาเข้าคลาส มาเรียนการแสดงมาอยู่ด้วยกัน แล้วสุดท้ายก็คัดเลือกมาเหลือพวกเราอยู่ไม่กี่คน ซึ่งปัจจุบันรุ่นเดียวกันเหลืออยู่แค่ 3 คน มันก็มีกันอยู่เท่านี้ครับ” ยังไม่ได้มีโอกาสคุยหรือยกหูโทร.หาเคลียร์กัน? “เอาจริงๆแล้วมันง่ายมากเลย การที่จะผิดใจอะไรนะ คือจริงๆแล้วหมายถึงผมหรือยังไม่รู้นะ เพราะอาร์ตยังไม่บอก ถ้ามีปัญหาอะไรอาร์ตสามารถโทร.หาได้เลย คือเราเพื่อนกันก็โทร.หาได้ ถามได้ แล้วก็ไม่ต้องรอมาจนถึงวันนี้ เอาตั้งแต่วันนั้นเลย” หลังจากคุยเรื่องนั้นเสร็จได้คุยกับอาร์ตอีกมั้ย?“ไม่ได้คุยครับ เป็น 10 ปี ที่หมดสัญญาไปไม่ได้คุยเลย คือ ณ ตอนนั้นจำได้ คือมันนานมาก แต่ผมจำได้ว่า เหมือนว่าอาร์ตจะไม่พอใจว่าเราไปพูดเรื่องของเค้าคือเรื่องสัญญานี่แหละว่าหมดสัญญากับช่องหรือยัง ที่ไปเล่น คือตรงนั้นคนเยอะมาก แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเจาะมาที่ผมด้วย” เค้าอาจจะเข้าใจผิด?“คืออย่างนี้ ผมว่านะมันมีบุคคลที่สาม อย่างตัวเค้าเองก็พูดถึงว่ามีบุคคลที่สาม ก็นั่นแหละบางทีมันจะต้องเผื่อใจคิดไว้บ้างว่า ถ้าเกิดมันเป็นเรื่องของเรา 2 คน เราก็ควรจะคุยกัน 2 คน อย่าผ่านบุคคลที่สาม หรือถ้าเกิดว่าฟังบุคคลที่สามมาพูดถึงผม หรือผมฟังคนนี้แล้วพูดถึงอาร์ต เรื่องมันเปลี่ยนได้หมดเลย อันนี้คือสิ่งที่มันไม่มีใครผิดทั้งเค้าและเรา ถ้าเกิดมันเกิดความเข้าใจผิดเพราะบุคคลที่สามยกหูโทร.หาเลย” ณ ตอนนั้น เราพูดถึง “อาร์ต” ในเจตนาไหน?“ณ ตอนนั้นก็มีการถามกันนี่แหละว่าหมดสัญญาแล้วเหรอที่ไปเล่นละคร” ไม่ได้พูดถึงเรื่องใส่ร้าย? “ผมจะใส่ร้ายอะไร จะใส่ร้ายว่าอะไร มันคือข้อเท็จจริงว่าสัญญา คือตอนนั้นผมก็จะหมดสัญญาก็มีการถามว่ายังไงอะ แล้วไปเล่นได้เหรอ ต้องรอหมดสัญญาก่อนมั้ย คือเราเองก็จะหมดสัญญา ด้วยความที่มาพร้อมกันสัญญาก็จะหมดพร้อมๆ กัน แต่ผมต่อสัญญากับช่อง ไม่ได้ออกมา”แสดงว่า เราไม่คิดว่าเขาจะเคือง?“ณ ตอนนั้นมีคนมาบอกว่ามีน้องอีกคนนึงอยากให้พูด เพราะมันมีการไปพูดแบบนั้นแบบนี้ ผมก็อ้าว ผมไม่ได้พูดแบบนั้นหนิ” บุคคลที่ 3 เป็นดารา? “ช่างเขาครับ ไม่อยากจะให้พาดพิงกันเยอะ คือเรื่องนี้มันผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว ปล่อยมันไปเถอะ”คิดมั้ยทำไมเรื่องมันถูกจุดขึ้นมาอีก?“งงมั้ยล่ะ”โกรธมั้ย?“เอาจริงๆเลยนะ อาร์ตกับผมเราอาจจะเป็นเหยื่อ ด้วยกันทั้งคู่ก็ได้นะอาร์ต คือถ้าอาร์ตรู้ว่าคนคนนี้ หรือว่าผมโดนอะไรมาบ้างจากคนนี้ อาร์ตอาจจะเห็นใจเราบ้างก็ได้นะ คือเราไม่ค่อยคุยกันเท่านั้นแหละ ถามว่าโกรธมั้ย คือไม่ได้โกรธที่ออกมาพูด เลย เพราะว่าในเมื่อผมไม่รู้เรื่องจริงๆผมจะโกรธทำไม ถ้าถามว่าเดือดร้อนมั้ย ก็เดือดร้อนมั้ยล่ะแบบนี้ มันก็มี แต่เราก็เข้าใจได้ว่าถ้าเค้าเข้าใจว่าเราทำอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้”ถ้าได้เจอกันจะเคลียร์มั้ย?“ถามว่าเขาจะเคลียร์กับผมมั้ย ผมไม่มีอะไร อาร์ตบอกว่าผม อาจแทงข้างหลังหรือปาดงาน ผมเนี่ยนะจะปาดใครได้ (หัวเราะ) ผมก็ไม่เข้าใจ” เจอกันก็ยังคุยกันได้? “ก็เพื่อนกัน ผมว่าถ้ามันจะเคืองใจกันมัน ก็อาจจะมีงอนๆนิดนึง แต่สุดท้ายมันก็คือเพื่อนกัน”จะมียกหูเคลียร์?“โห...มันผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว จะยกทำไมไม่ยกตั้งแต่ตอนนั้น”.