ได้โชว์สกิลบู๊และกลับมาเล่นละครโรแมนติกแอ็กชันคอมเมดี้อีกครั้ง ท้าทายฝีมือพระเอก “บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” ในละคร “สายลับลิปกลอส” ทางช่อง 3 โดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จับคู่ครั้งแรกกับนางเอกสาว น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ ปะทะคู่ซี้ ปั้นจั่น-ปรมะ กับ ปราง-กัญญ์ณรัณ และสายเการุ่นเล็ก ก็อต-อิทธิพัทธ์ กับมายด์-ลภัสลัล เสิร์ฟความสนุกกำลังเข้มข้น เลยชวน “บอย” อัปเดตผลงานและชีวิตตอนนี้ที่มีทั้งงาน ธุรกิจ ครอบครัว รวมทั้งความรักกับสาว “เฟย์-พรปวีณ์ นีระสิงห์” ที่มองไปข้างหน้า เริ่มจาก...กับการทำงานในละคร “สายลับลิปกลอส” เป็นไงบ้าง?“เรื่องนี้เหมือนโดนหลอกมาเล่น (หัวเราะ) พี่หน่อง-อรุโณชา โทร.มาบอกว่าน้องบอย มีละครเรื่องสายลัปลิปกลอส แอ็กชั่นคอมเมดี้ สนุกมากฮาๆ พอเปิดกล้องมาปุ๊บ บู๊หนักเลย ผมก็คิดว่าอ่ะช่วงเปิดตัวก็ต้องบู๊เท่ๆ ถ่ายไปเอ๊ะนี่ละครบู๊นี่ แอ็กชันจัดเต็มทั้งเรื่อง โดยเฉพาะผมในวัย 38 เข่าหลัง นี่ โอ๊ย โอดครวญกับ ปั้นจั่น-ปรมะ กันสองคน มีทุกอย่างของการบู๊จัดเต็มมาก ผมรับบท ธีรภัทร ก็ไม่คล้ายผมเท่าไหร่ เพราะเค้าเป็นตัวละคร ที่ชีวิตซีเรียสนะ เค้ามีชีวิตด้วยการตามล่าหาความจริง ความแค้น รู้ว่าคนนี้อยู่เบื้องหลังการตายของน้องสาว แต่ยังหาหลักฐานไม่ได้ เราออกจากราชการมาตามหาว่าใครอยู่เบื้องหลัง เลยฟอร์มทีมขึ้นมาคือ “แก๊งร้านยำ” พอรวมกันทีไรก็ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งแก๊งร้านยำ และนางเอก คือฮาหมด น้ำตาล-พิจักขณา เป็นบิวตี้บล็อกเกอร์มาร่วมทีม เจอกันด้วยความไม่ลงรอยแต่เป็นดวงนารีอุปถัมภ์ของผม พวกเราเลยเป็นกลุ่มสายลับปลอมตัวไปสืบเรื่องราว เส้นความรักระหว่างผมกับน้ำตาลมันเกิดขึ้นระหว่างสถานการณ์ ต่างคนต่างช่วยเหลือกัน อีก2 คู่ก็จะมาเกี่ยวโยงกัน ผมว่าเรื่องนี้ดูแล้วมีความสุข” น้ำตาลเผยแล้วว่าเป็นติ่งบอย-ปกรณ์?“เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอน น้ำตาลเข้าช่อง3 ใหม่ๆ ทีมงานให้ผมโทร.ไปโฟนอินไปเซอร์ไพรส์เค้า ผมก็เอ๊ะผิดคนรึเปล่า เพราะตอนเจอกันที่ช่องไม่เห็นจะทักเลย ในรายการก็พูดคุยปกติ พอมาเจอที่ช่องอีกทีก็ไม่เห็นทักเลย ก็คิดในใจว่าชอบจริงรึเปล่า พอผ่านไปนานๆก็ได้รู้จักกันมากขึ้น มาสนิทกันก็ตอนไปดำน้ำด้วยกัน น้ำตาลมาเล่าว่าตอนนั้นหนูเขินจนไม่กล้าทัก จนได้มาเล่นละครด้วยกันเรื่องนี้ ตอนแรกๆที่เข้าฉากกันเค้าก็เขินอยู่เลย เค้าก็มีมาเล่านะว่าหนูเป็นติ่งตัวจริง ตั้งแต่ตอนเค้าอยู่เชียงใหม่ผมเข้าวงการแล้ว เค้ากับเพื่อนซื้อของเพื่อให้เป็น Top Spender ขึ้นไปถ่ายรูปกับผมเลยนะ พอทำงานด้วยกันทุกวันนี้เค้าก็ชอบแซวผมว่า ไอดอลหนู เราก็เอ็นดูเค้านะ เค้าเป็นเด็กน่ารัก จิตใจดี เค้าก็บอกผมว่าชีวิตติ่งคอมพลีตมันก็ตลกดีนะ วันนึงคนที่เคยมาตามผมที่อีเวนต์จะได้มาเล่นละครด้วยกัน”เห็นการทำงานของน้ำตาลแล้วเป็นไงบ้าง? “ผมชื่นชมเค้านะ เค้าเล่นทั้งดราม่าและคอมเมดี้ได้ดี ผมรู้สึกว่าเค้าเล่นคอมเมดี้น่ารัก พอเจอตัวจริง เลยเข้าใจเลยว่าทำไมละครส่วนใหญ่ของน้ำตาลที่คนชอบจะเป็นทางคอมเมดี้ น่ารักโก๊ะๆ เพราะเค้ามีแนวทางชัดเจนและครีเอตสถานการณ์ตามบทดี ขยันทำการบ้าน ตั้งใจ ทำงานกับน้ำตาลรู้สึกสบายใจมาก ด้วยความที่เค้าเป็นคนจิตใจดี มีอะไรก็ค่อนข้างเปิดบรรยากาศในกองกับคนอื่นก็สนุกครับ ปั้นจั่น-ปรมะ ปราง-กัญญ์ณรัณ ปิงปอง-ธงชัย รวมตัวก็เม้าท์กัน นินทาคน(หัวเราะ) เรื่องเลิฟซีน ไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น เพราะความรักตามสถานการณ์ คอยช่วยเหลือผมเพราะเป็นดวงนารีอุปถัมภ์ของผม เลยกลายเป็นความรักที่ค่อยๆเกิดขึ้น” ได้ใส่ความฮาอะไรที่เป็นตัวเองมั้ย?“เราก็ขายไอเดียให้ผู้กำกับมากกว่า โชคดีที่ครูเอ-นัฐพงศ์ วงษ์กวีไพโรจน์ เป็นผู้กำกับที่ค่อนข้างเปิด ด้วยความเป็นคอมเมดี้ เค้าเลยเปิด รับ”ด้านแอ็กชัน ของเรื่องนี้? “มันหนักหน่วงมาก บางทีในบทสั้นนิดเดียว แต่ครูเอ เป็นคนทำการ บ้านเยอะ ฉากต่างๆเค้าก็ไปคิดมาไปเติมว่าอะไรที่ทำให้มันสนุก ฉากแอ็กชันบางทีบทเขียนมา 3-4 บรรทัด ครูแก้เป็นหน้านึง ให้ผมไปวิ่งบนดาดฟ้า กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง วิ่งต่อลานจอดรถ สไลด์ตัว กระโดดข้ามตึกกลิ้งๆ ผมบอกว่าพอแล้วมั้งครู ครูเอบอกว่าไม่ได้บอยต้องเท่ ทีมงานเซฟดีมีความปลอดภัย แต่ฉากที่ต้องเล่นเอง บางทีเราก็ 38 แล้วเนอะ บางทีครูเอก็เล่นให้ดู เราก็อ่ะ ในเมื่อครูเอเค้าทำได้ เราก็ต้องทำแล้วล่ะ”ต้องเตรียมร่างกายมั้ย? “ผมออกกำลังกายอยู่แล้วแต่ช่วงนั้นก็ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมกว่าเดิม พอเล่น ฉากแอ็กชัน มันต้องใช้ร่างกายอยู่เรื่อยๆ นางเอกก็ต้องแอ็กชันไปด้วยนะเรื่องนี้ เค้าก็บาดเจ็บไปสองรอบ”เรื่องที่แล้วเพิ่งดราม่าหนักมาก เรื่องนี้พลิกบทบาทอีก?“ใช่ครับ ตอนนั้นคนละฟีล เรื่องบาปอยุติธรรมมันเครียดมาก ทำการบ้านเยอะมาก ผมห่างจากบทคอมเมดี้ไปนาน ย้อนไปก่อนหน้านั้น ผมเล่นบทคอมเมดี้เยอะแล้วผมรู้สึกว่าอยากเจอเส้นเรื่องอื่นบ้าง อยากเล่นสายดราม่าบ้าง ถ้าพูดตรงๆผมชอบทางดราม่านะ ถนัดทางนั้นแต่เรามักจะถูกให้เล่นคอมเมดี้ ช่วงที่ผ่านมาผมเลยตั้งใจไปทางดราม่าและในเรื่องนี้ก็เป็นการกลับมาเล่นคอมเมอดี้ในรอบหลายๆเรื่องเหมือนกัน” ที่บอกว่าหันไปดราม่าและกลับมาคอมเมดี้ แปลว่าเราวางเส้น ทางงานของตัวเองไว้หมด?“ความจริงไม่ได้วางหนักขนาดนั้น แค่มองว่าช่วงนี้อยากทำงานแบบนี้ มันจะได้ไม่เป็นงานที่ซ้ำซาก เติมไฟให้เราด้วยและคนดูจะไม่เบื่อด้วย จริงๆทำงานทุกเรื่องใช้กำลัง เวลา สมองหมด แต่เราก็ต้องเปลี่ยนโทนให้งานเปลี่ยนโทนตัวเองบ้าง”เป้าหมายของ บอย-ปกรณ์ ในงานแสดงคืออะไร? “เวลาเราทำงานออกมา เราก็คงไม่ได้ไปคาดหวังว่าจะได้รางวัลหรืออะไร ถ้าได้ก็เป็นกำลังใจในการทำงาน แต่สำหรับผมแค่ทำออกมาแล้วคนดูเห็นแล้วคนดูชอบ สนุก เล่นดี โอเค เรามีความสุขแล้ว” “บอย-ปกรณ์” คือโลโก้พระเอกของทุกคน เปิดกว้าง เข้าถึงได้?“เป้าหมายของผมอาจจะไม่ได้แค่เรื่องการเป็นนักแสดง แต่คือการได้เจอทุกคน ผมยังรู้สึกแฮปปี้และมีความสุขทุกครั้งที่ผมเป็นคนที่ทุกคนแตะต้องได้ ผมดีใจที่ผมเป็นแบบนี้”การวางตัวให้เป็นแบบนี้ได้ตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้? “ก็แค่ใจเค้าใจเรา คนที่เค้าทักเราเค้าก็อยากพูดคุยกับเรา เราแค่รู้สึกว่าอะไรที่ช่วยกันได้นิดหน่อย ทำไมช่วยกันไม่ได้ แทนที่จะทำให้มวลของการพูดคุยเป็นความตึงเครียดหรือยาก ทำไมไม่สร้างมวลดีๆ ผมชอบอยู่ตรงที่ที่มันมีมวลความสุขมากกว่า อยากเจอทุกคน แล้วพูดคุยได้ง่าย บางทีคนเจอเราทักทายเรา เราแค่ทักทายกลับมันไม่ยาก เค้าขอถ่ายรูปก็ถ่าย ไปเดินห้างได้ หรือเวลาเจอพี่ๆทีมงานอะไรที่ช่วยได้เล็กน้อยเราก็ช่วย หรือถ้าเราอยู่ในจุดที่จำเป็นหรือไม่ว่าง เราแค่บอกเค้าตามตรง ผมก็แค่คิดว่า ถ้าวันนึงที่เราอยู่ในสถานการณ์ที่เราไม่พร้อมทุกคนน่าจะเข้าใจ ถึงแม้จะมีคนไม่เข้าใจบ้างแต่เรารู้ตัวว่าเราทำอะไรและในวันที่เราพร้อมเราให้ทุกคนเต็มที่”ความเป็นบอย-ปกรณ์ ทุกคนรู้จักเราว่าเป็นคนแบบไหน รู้จักชีวิตเราครอบครัวเรา เคยเป็นปัญหามั้ยกับการเปิดมากเกินไป? “ผมคิดแบบนี้นะว่าเรามีทุกวันนี้ได้เพราะทุกคนให้เราเหมือนกัน ผมไม่เคยมีปัญหาตรงนี้ ถ้าเราไม่มีคนที่ซัพพอร์ตเราก็ไม่มีตรงนี้ ทุกวันนี้ผมออกจากบ้าน เราถูกจับตาอยู่ในแสงสปอตไลต์ตลอดเป็นเพราะเราเลือกมาทำงานตรงนี้ มันคือหน้าที่หนึ่งของเรา สำหรับคนอื่นผมไม่รู้ แต่สำหรับผม ทัศนคติที่ผมมีคือคนที่ทำงานในวงการบันเทิงก็ต้องสละความเป็นส่วนตัวไปอยู่แล้ว ทุกๆนาทีที่คุณออกจากบ้าน คุณก็ทำหน้าที่ของคุณตลอด มันก็เป็นสิ่งที่ต้องแลกมากับอาชีพหน้าที่การงาน รายได้ ผมว่ามันก็คืองาน”เคยมีมั้ยที่ความเป็นบอยอาจจะไม่ตรงกับความคาดหวังของบางคน? “เอาจริงๆผมก็เป็นคนขี้นอยด์นะ บางทีเรามีเหตุผลของตัวเอง เรารีบมากๆแล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับทุกคน บางทีพอขึ้นเครื่องบินเราคิดนะว่าเมื่อกี้เค้าต้องรู้สึกไม่ดีกับเราแน่เลย แต่ตอนนี้นอยด์น้อยลงเพราะเราก็รู้สึกว่าเราก็เป็นมนุษย์คนนึง ที่ไม่สามารถไปอธิบายให้ทุกคนฟังหมดได้ ถ้าผมพร้อมผมก็ให้ทุกคนเสมอ” การเป็นคนโอเพ่น แบบนี้ “เฟย์-พรปวีณ์” คนข้างกายเราเข้าใจมั้ย?“ถามว่าเราเกรงใจเค้ามั้ย เราเกรงใจนะ ไม่ใช่แค่แฟนแต่เวลาเราไปไหนไปกับเพื่อน หรือคนที่เค้าไม่ได้ทำงานในวงการ เวลา เจอคนขอถ่ายรูปยาวๆเราก็เกรงใจเค้า ต้องบอกเค้าว่าเดินไปก่อนเลย เดี๋ยวตามไป เราก็ต้องจัดการตรงนี้ แต่กับเฟย์เราจะไม่ค่อยมีปัญหา ด้วยความที่เฟย์เค้าก็โอเพ่นเรื่องนี้เหมือนกัน เค้าอยู่ในวงการก่อนผมอีก ทุกวันนี้เวลาโดนขอถ่ายรูปก็ไม่ได้โดนคนเดียวแล้ว ก็โดนทั้งคู่ เราเข้าใจกันในเรื่องนี้ ไม่มีปัญหาครับ”การคบเฟย์วันนี้ถึงตรงนี้เรามองยาวเลยมั้ย? “มองยาวๆเรามองยาวอยู่แล้ว เราคบใครก็อยากให้ยาวหมด พอมาถึงช่วงจังหวะชีวิตตอนนี้ ด้วยอายุเท่านี้มันก็มองไปถึงเรื่องอนาคต ถามว่าจริงจังมั้ยก็เต็มที่เลย แต่สุดท้ายมันก็คือเรื่องของอนาคตเราก็ไม่อยากจะไปเร่ง ปล่อยเป็นธรรมชาติ”การมีเฟย์ ในชีวิตเติมเต็มเรายังไงบ้าง? “มันก็ดีครับ มีคนอยู่ข้างๆ เป็นคู่คิด ปรึกษาได้ เหนื่อยเครียดเรื่องอะไร มีคนให้บ่น เล่าได้ เค้ารับฟังเป็นผู้ฟังที่ดี หรือบางทีเค้าเจอเรื่องราวไม่สบายใจเค้าก็มาเล่าให้เราฟัง”ด้วยวัยนี้เห็นเค้าในภาพอนาคตของเรามั้ย? “ก็ไม่ได้คุยอะไรชัดเจนแต่ก็อยากให้เป็นแบบนี้อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็มองยาวแหละ ผมชอบความพอดีๆ ของ เฟย์ เค้าเป็นคนที่มีความพอดีเรื่องไลฟ์สไตล์การแต่งตัว การใช้ชีวิต มีความคิดดี ความเป็นผู้ใหญ่ จะพูดจะทำอะไรเค้าจะคิดให้ดีก่อน ความคิดเค้าดี ถ้าในมุมที่อ้อนมั้ย เค้าก็มีตามประสาผู้หญิงแต่เวลาที่ออกสื่อเค้าอาจจะไม่ได้เผยมุมนี้ออกมา เค้าก็มีมุมน่ารักที่คนภายนอกไม่ได้เห็นบ่อย แต่ผมได้เห็น (หัวเราะ) เค้ามีความเป็นผู้ใหญ่ เค้าทำงานมาตั้งแต่เด็กเรื่องการตัดสินใจต่างๆเค้าจะมีความเป็นผู้ใหญ่พอสมควร คิดอะไรเองได้ ผมรู้สึกว่าตรงนี้ก็ดีนะ ถึงตอนนี้มันก็มีเรื่องใหม่ๆเรียนรู้กันว่าแบบมีมุมนี้ด้วยเหรอ เราก็รู้จักกันมากขึ้น เยอะขึ้นไปอีกระดับนึง” ถามเรื่องธุรกิจบ้าง เป็นคนที่ทำอะไรเยอะมากใน 1 วัน?“เราก็ทำไปเรื่อยๆ แต่เราไม่ได้ทำคนเดียว ถ้าทำคนเดียวคงไม่ไหว เพราะทุกอย่างมันมีพาร์ตเนอร์มีคนช่วย ร้านอาหารผมมี 4 ร้านก็มีหุ้นส่วน อย่างสตูดิโอ ก็เป็นธุรกิจ ครอบ ครัว มีทีมงานคอยรัน ล่าสุดที่ผมเปิดเพจไลฟ์ขายของในเฟซบุ๊ก ผมก็มีทีม”ทำเยอะเหมือนร้อนเงิน? “(ยิ้ม) จริงๆก็ไม่ได้ร้อนเงินหรอก เราแค่รู้สึกว่าเราอายุมากขึ้นทุกวัน แผนงานในวงการบันเทิงมันก็ต้องมีการขยับโพสิชันบ้าง เราจะเป็นพระเอกได้อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ อายุเราก็เท่านี้แล้ว เราก็มองงานอื่นไว้บ้าง ทำพิธีกรบ้าง พอมีธุรกิจเข้ามา เราก็ไม่ใช่วัย 25 ที่จะโฟกัสในวงการอย่างเดียว ก็มองหาสิ่งที่มารองรับในอนาคต คือถ้าใครมาชวนแล้วเราชอบสนใจ เราก็ทำ อย่างล่าสุดอันไลฟ์ขายของเราก็สนใจนะ คนเริ่มมาทำแต่ยังทำไม่เยอะ”เป้าหมายในการทำธุรกิจของบอยคืออะไร? “ผมว่าชีวิตเราแบ่งได้ 2 พาร์ต พาร์ตนึง คือครอบครัว หมายถึงครอบครัวที่เราดูแลทุกวันนี้ แม่และน้องๆ และครอบครัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตรงนี้เป็นพาร์ตที่สำคัญในชีวิตของเรา ถ้าถามผมเงินอาจจะไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด แต่การที่เราจะดูแลให้ครอบครัวเราอยู่ได้สุขสบาย ทำอะไรได้คล่อง ปัจจัยเรื่องของเงินมันก็มีส่วนสำคัญระดับนึงที่จะขยับขยายอะไรได้ ทั้งการศึกษา หรืออนาคต ถ้าเรามีทุนที่พร้อมเราก็ดูแลเค้าได้สบาย อีกแง่คือการต่อยอดตัวงานของเรา ต่อไปในเรื่องธุรกิจ ผมมองว่าทุกวันนี้ถ้าเรายังมีแรงในการหาเงิน ซึ่งเงินสามารถเลี้ยงดูได้ทั้งสองฝั่ง ในอนาคตเราอาจจะไม่ได้มีแรงขนาดนี้ ตอนนี้เราก็รีบทำอะไรที่สามารถทำให้เงินเก็บของเรางอกเงยขึ้นมาได้เพื่อในวันหนึ่งเราอยากทำอะไรก็ทำได้ ความสุขจริงๆคือความสุขของการใช้ชีวิตแต่เงินก็เป็นปัจจัยนึงที่ทำให้ชีวิตของเราดี สำหรับผมการแบ่งเวลาให้คนที่อยู่ข้างๆก็สำคัญกับผม ผมมั่นใจเรื่องนึงเลยเรื่องนี้ว่าต่อให้ผมจะมีเพื่อน จะบ้างาน หรือต่อให้ผมจะมีแฟน ผมไม่เคยทิ้งความสำคัญของครอบครัวเลย อันนี้ผมแบ่งเวลาให้เสมอ ผมว่าอันนี้ ผมโดนปลูกฝังจากแม่เสมอครับ”.เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย