ประเด็น “ความมั่นคง” กับ “สิทธิมนุษยชน” นับเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมาตลอด เนื่องจากหลายต่อหลายครั้งมักจะมีจุดขัดแย้งที่ยากจะหาความลงตัวเมื่อรัฐเข้มงวดไปก็กลายเป็นว่าล่วงละเมิด เกิดปัญหาจากความไม่พอใจ แต่พอยึดมั่นในหลักการ ก็กลายเป็นว่าเกิดจุดบอด และกลายเป็นปัญหาตามมาอีกเช่นกันกลายเป็นอาณาเขต “สีเทา” ที่ไม่มีคำตอบชัดเจน อย่างปัญหาผู้อพยพทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป หรือเคสเรื่องการปราบปรามก่อการร้าย ที่เป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก ณ เพลานี้อย่างสหรัฐอเมริกา ถือเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ดี โดยนับตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยาฯเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ ปี 2544 รัฐบาลได้เลือกที่จะชู “ความมั่นคง” เป็นหลัก นำไปสู่การละเมิดสิทธิฯอันมากมาย ทั้งคุกลับซีไอเอ การทรมานผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายด้วยการราดน้ำวอเตอร์บอร์ดดิ้ง การขังลืมในเรือนจำกวนตานาโม การใช้โดรนสังหารเป้าหมาย ไปจนถึงการดักฟังทางดิจิทัล คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ของประชาชนและผู้นำโลกด้วยเหตุนี้ที่ปัญหาความไม่สงบยังคงรุมเร้าอยู่รายวันรายสัปดาห์ จึงไม่แปลกแต่อย่างใด ที่บางรัฐจะเลือกชูความมั่นคงด้วยเช่นกัน เช่น ในภูมิภาคเอเชีย โรดริโก ดูเตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ที่แสดงจุดยืนเมินสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มรูปแบบ มอบใบอนุญาตฆ่าแก่เจ้าหน้าที่รัฐ แก้ปัญหายาเสพติด กลุ่มก่อความไม่สงบดูเหมือนว่าเทรนด์ “เว้นวรรคสิทธิฯ” จะลุกลามกันต่อไป โดยล่าสุดเป็นเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ประกาศว่าพอกันที หลังเจอเหตุการณ์ไปสามครา ขับรถชนคนบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ ระเบิดฆ่าตัวตายที่แมนเชสเตอร์ และขับรถชนพร้อมไล่แทงชาวบ้านที่ตลาดโบโรห์ลอนดอน“จากนี้ไปจะเริ่มการคุมเข้ม จำกัดเสรีภาพและการเดินทางของผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย ที่ทางการมีหลักฐานว่าเป็นภัยคุกคาม แต่ไม่เพียงพอจะดำเนินคดี ขยายระยะเวลาการจำคุก ไปจนถึงการลดความยุ่งยากของขั้นตอนส่งตัวกลับประเทศ และทั้งหมดนี้หากมีประการใดติดข้อกฎหมายสิทธิมนุษยชน เราจะแก้ไขกฎหมายมันเสีย”มีคำพูดกันว่าหมดเวลาแล้วโลกสวย ซึ่งสำหรับอังกฤษอาจจะเริ่มเป็นเช่นนั้น นำไปสู่คำถามต่อว่ารัฐใดจะเป็นรายต่อไป เพราะดูแล้วบรรยากาศความสะพรึงกลัวคงอยู่คู่เราไปอีกนาน.ตุ๊ ปากเกร็ด