รีพับลิกันกับเด็มโมแครต สองพรรคการเมืองสำคัญของสหรัฐฯ มีนโยบายเรื่องพลังงานและเรื่องภาวะโลกร้อนต่างกันอย่างชัดเจนพ.ศ. 2557 อดีตประธานาธิบดีโอบามาแห่งพรรคเด็มโมแครตหนุนแผนพลังงานสะอาดเพื่อลดภาวะโลกร้อน โดยกำหนดให้ทุกรัฐ ต้องลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 32 จากระดับเมื่อ พ.ศ.2548 ภายใน พ.ศ.2573 แต่แผนพลังงานสะอาดของโอบามาไม่เคยบังคับใช้ได้จริง เพราะรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรครีพับลิกันคัดค้านในชั้นศาลรีพับลิกันเป็นพรรคที่แต่ไหนแต่ไรสนใจเรื่องพลังงานฟอสซิล ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ผู้คนในพรรคนี้จำนวนไม่น้อยมีธุรกิจที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นอดีตประธานาธิบดีจากตระกูลบุชทั้งพ่อและลูก ทรัมป์เองก็แต่งตั้งนายทิลเลอร์สัน อดีตประธานบริหารเอ็กซอนโมบิล บริษัทน้ำมันอันดับต้นของโลกเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโอบามามุ่งมั่นกับ Clean Power Plan หรือแผนพลังงานสะอาด และออกกฎระเบียบอะไรสนับสนุนไว้เยอะแยะ แต่เมื่ออังคารวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ทรัมป์กลับลงนามในคำสั่งบริหารยกเลิกกฎระเบียบที่ออกโดยโอบามา และเซ็นคำสั่งประกาศ Energy Independence หรือ อิสรภาพทางพลังงาน ทรัมป์ยังถอนคำสั่งห้ามปล่อยเช่าที่ดินของรัฐเพื่อทำเหมืองถ่านหิน ยกเลิกกฎควบคุมการปล่อยก๊าซมีเทนจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซในอดีต การอนุมัติโครงสร้างพื้นฐานหรือการกำหนดนโยบายของรัฐบาลกลางและท้องถิ่นของสหรัฐฯ ต้องคำนึงถึงปัญหาโลกร้อนหรือปริมาณก๊าซเรือนกระจก แต่คำสั่งบริหารของทรัมป์ที่ลงนามไปเมื่อวัน อังคาร จะทำให้มีการให้น้ำหนักกับปัญหาเหล่านี้น้อยลงเกี่ยวกับเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ก็เหมือนกัน เมื่อปีที่แล้ว คณะทำงานด้านการลดอาวุธนิวเคลียร์แห่งสหประชาชาติได้เสนอต่อสมัชชาใหญ่ว่า ใน พ.ศ.2560 จะให้มีการเจรจาสนธิสัญญาแบนอาวุธนิวเคลียร์เพื่อทำให้อาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งผิดกฎหมายการเจรจารอบแรกทำกันในสัปดาห์นี้ที่สำนักงานใหญ่สหประ-ชาชาติ และสิ้นสุดในวันศุกร์วันนี้ ทว่า ผู้อ่านท่านเชื่อไหมครับสหรัฐฯ และชาติใหญ่ๆ ที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ไม่เข้าประชุม เมื่อมีข่าวว่าสหรัฐฯ ไม่เข้า อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน ก็ไม่เข้าแม้แต่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่เคยโดนระเบิดปรมาณูเมื่อปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวเองเคยโดนผลกระทบเต็มที่ จึงน่าจะเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ แต่ญี่ปุ่นก็ไม่เข้าเหมือนกัน ปล่อยให้ชาติเล็กประเทศน้อยคุยกันในเรื่องนี้แทนนางนิกกี ฮาเลย์ ทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติบอกว่า ที่สหรัฐฯ ไม่เข้าร่วมเจรจาในครั้งนี้ ก็เพราะเชื่อว่าการเจรจาจะไม่มีผลปฏิบัติได้จริง ทั้งการลงนามในคำสั่งบริหารที่ทำลายแผนพลังงานสะอาดที่ลงนามโดยทรัมป์ และการที่สหรัฐฯ รวมทั้งประเทศอื่นๆ ไม่เข้าร่วมเจรจาเรื่องการลงนามสนธิสัญญาแบนนิวเคลียร์ ทำให้เราพอจะมองเห็นว่า ต่อไปในอนาคต จะให้ความสนใจในเรื่องภาวะโลกร้อนและเรื่องการลดการสะสมอาวุธนิวเคลียร์น้อยลงโลกทุกวันนี้อยู่ในสภาวะตัวใครตัวมัน ไม่มีใครแคร์ใครอีกแล้ว เมื่อก่อนประเทศมหาอำนาจชาติใหญ่ยังสนใจช่วยเหลือเกื้อกูลประเทศเล็ก สนใจที่จะทำให้โลกอยู่เย็นเป็นสุขขึ้นแต่วันนี้ไม่ใช่แล้วครับ ที่สหรัฐฯ ด่าและคว่ำบาตรประเทศที่ทดสอบนิวเคลียร์ไม่ว่าจะเป็นอิหร่านหรือเกาหลีเหนือ ผมว่าเป็นการกระทำที่น่าละอายมากกว่า เพราะสหรัฐฯ เองนี่แหละที่ยังไม่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์สนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ หรือ CTBT มีข้อใหญ่ใจความในสนธิสัญญาว่า ห้ามรัฐภาคีทดลองอาวุธนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าบนดิน ใต้ดิน ใต้น้ำ หรือในอากาศ สนธิสัญญา CTBT มีประเทศต่างๆ ลงนามแล้ว 165 ประเทศ และมีประเทศที่ให้สัตยาบันแล้ว 92 ประเทศการกระทำของทรัมป์ซึ่งเป็นผู้นำของประเทศมหาอำนาจ จะเป็นต้นแบบให้ผู้นำอีกมากมายหลายประเทศปฏิบัติตาม เมื่อก่อนผู้นำประเทศเหล่านั้นอาจจะกล้าๆ กลัวๆ เกรงว่าเมื่อทำไปแล้วจะโดนด่า จะโดนตำหนิติเตียนว่าเป็นผู้นำแกะดำทว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป บรรทัดฐานที่ทรัมป์ทำไว้ ทำให้ผู้นำประเทศอื่นกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำโดยไม่แคร์สังคมโลก และจะใช้มาตรฐานของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ มาเป็นสิ่งอ้างอิง.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com