ดังที่เราทราบกันดีแล้วว่า “ทรัพยากรมนุษย์” หรือ Human Resource นั้นเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของแต่ละประเทศประเทศไหนมีทรัพยากรมนุษย์ที่ดี มีความฉลาดเฉลียว มีความรอบรู้ มีความชำนาญ มีความขยันขันแข็ง และมีนิสัยที่ดี อุทิศตนเพื่อสังคมส่วนรวม ฯลฯ รับรองชาตินั้นไม่มีวันล้าหลังแน่นอนถึงแม้ประเทศที่ว่านั้นจะขาดแคลนทรัพยากรอื่นๆ เช่น พื้นที่ไม่พอปลูกอาหาร น้ำไม่พอดื่ม ไม่มีน้ำมัน ไม่มีพลังงาน ฯลฯแต่การที่มีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพดังกล่าว ประเทศที่ว่านั้นก็จะอาศัยปัญญาและความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ของเขาช่วยกันหาเงิน หารายได้เข้าประเทศในด้านต่างๆ จนสามารถจะซื้อสิ่งที่ขาดแคลน เข้ามาชดเชยได้อย่างสบายๆตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ก็คือประเทศสิงคโปร์ที่ไม่มีทรัพยากรอะไรเลย มีแต่ทรัพยากรมนุษย์ แต่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นชาติชั้นนำ มีรายได้สูง มีระดับการพัฒนาสูงติดอันดับโลกอยู่ในขณะนี้ความจริงข้อนี้ไม่ใช่ความลับอะไรของโลก เพราะไม่ว่าชาติไหนประเทศไหนต่างก็รับรู้รับทราบทั้งสิ้น ตำราเศรษฐศาสตร์ทุกเล่มก็เขียนเอาไว้ ตั้งแต่ ค.ศ.1960 หรือ พ.ศ.2500 ต้นๆโน่นแล้วบ้านเราก็ตระหนักในเรื่องความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์มาตั้งแต่ พ.ศ.2500 ต้นๆเช่นกัน มีการตั้งกองวางแผนกำลังคน หรือกองพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขึ้นในสภาพัฒน์มาตั้งแต่ พ.ศ.2505-2506จากนั้นก็มีการทำงานร่วมกันระหว่างสภาพัฒน์ สภาการศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นับมาถึงบัดนี้ ไม่น่าจะต่ำกว่า 50 ปีก็ทำกันเรื่อยมา และเรื่อยมาจนถึงบัดนี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยจะยังคงมีปัญหาที่หนักสาหัสอยู่ไม่น้อยอาจจะดีกว่าสมัยก่อนบ้างในบางเรื่องบางประเด็น แต่ก็ยังสู้ชาติอื่นๆ เขาไม่ได้ โดยเฉพาะในเรื่องความรู้ เรื่องการศึกษาและเรื่องสอบวัดผลโน่นนี่ล่าสุดเมื่อ 2 วันที่แล้วนี่เองก็มีรายงานเรื่องผลการสอบโอเน็ต ม.3 ทั่วประเทศ ซึ่งปรากฏว่าเด็กไทยสอบตกหมดทุกวิชาสังคมศึกษาตกน้อยหน่อยเฉลี่ย 49.00, ภาษาไทยตกรองลงมาคะแนนเฉลี่ย 46.36, วิทยาศาสตร์ค่อนข้างแย่ คะแนนเฉลี่ย 34.99, ภาษาอังกฤษแย่รองบ๊วย คะแนนเฉลี่ย 31.80บ๊วยสุดๆก็คือคณิตศาสตร์ คะแนนเฉลี่ย 29.31ลงได้แย่ทั้งวิทยาศาสตร์, คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษแบบนี้เราจะไปแข่งขันกับใครเขาได้อีกข้อมูลหนึ่งที่ผมอ่านแล้วเจ็บปวดไม่แพ้กัน เผยแพร่โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซุกเป็นข่าวขนาดกลางๆอยู่ในหน้า 12 ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับเมื่อวันอังคารที่ 28 มีนาคมนี่เองบอกว่าสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยการสนับสนุนของยูนิเซฟดำเนินการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและสตรีในประเทศไทยในด้านต่างๆที่เรียกว่า MICS ซึ่งสำรวจมาถึงครั้งที่ 5 หรือ MICS 5 แล้วพบว่าล่าสุด (พ.ย.58-มี.ค.59) เด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ประมาณ 1 ใน 10 หรือประมาณ 2.5 แสนคน มีภาวะเตี้ยแคระแกร็น โดยเด็กภาคใต้ และเด็กในครัวเรือนยากจนจะมีภาวะเตี้ยแคระแกร็นมากกว่ากลุ่มอื่นๆนอกจากนี้ยังพบด้วยว่า อัตรามีบุตรของวัยรุ่นไทยอายุ 15-19 อยู่ที่ 51 คน ต่อ 1,000 คน โดยภาคเหนือมากสุด 72 คนต่อ 1,000 คนเมื่อเจาะลึกไปอีก แม่อายุที่มีบุตรเร็วที่ว่านี้อยู่ในระดับประถมศึกษาถึง 104 คนต่อ 1,000 คน และในครัวเรือนยากจน 82 คนต่อ 1,000 คนฟังแล้วก็ใจหายนะครับ เมื่อพบว่าเด็กๆที่จะเป็นทรัพยากรมนุษย์อันสำคัญของประเทศเราตกอยู่ในปัญหาที่น่าเป็นห่วงอีกหลายๆเรื่องเรียนหนังสือก็ไม่ค่อยเก่ง สอบโอเน็ตก็ตกระนาวอย่างที่ว่า แถมยัง เป็นเด็กตัวเล็กแคระแกร็น และมีลูกเร็วเป็นคุณแม่ตั้งแต่เรียนประถมศึกษาเข้าไปอีก...เฮ้อ!แล้วเราจะไปถึงประเทศไทย 4.0 กันได้ยังไงล่ะเนี่ย?แต่ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ครับ ผมเพิ่งมีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงเรียนที่มีเด็กเก่งที่สุดของประเทศไทยโรงเรียนหนึ่งกลับมาเมื่อ 2 วันก่อนนี้เองไปพบแล้ว คุยแล้ว เห็นแล้วก็พอมีความหวัง มีกำลังใจว่า ประเทศไทยในอนาคตแม้จะเหนื่อย แต่ก็คงไม่ถึงกับอับจนเสียทีเดียวเรื่องนี้ทำท่าจะยาวไว้คุยต่อพรุ่งนี้นะครับ.“ซูม”