“แก่แล้วเรียนรู้ยาก” “หัวไม่ดีมาตั้งแต่เกิด” ... คำพูดเหล่านี้กำลังจะกลายเป็น “เรื่องโบราณ” ที่นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ต้องยิ้มเยาะ?ดร.นพ.ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ รองประธานด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานและวิจัย ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ตอกย้ำถึงแนวคิดปฏิวัติวงการประสาทวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่า “Neuroplasticity” ...ความยืดหยุ่นของระบบประสาท เอาไว้น่าสนใจวันนี้...วิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า “สมองของเราไม่ใช่หินผาแต่คือดินน้ำมันชั้นดี” ที่สามารถปรับเปลี่ยน จัดระเบียบโครงสร้างและสร้างวงจรใหม่ๆได้ตลอดชีวิต เพื่อตอบสนองต่อประสบการณ์ การเรียนรู้ และการฟื้นตัวจากการบาดเจ็บ นี่คือสัญญาณแห่งความหวังที่บอกว่า “การเรียนรู้ไม่เคยมีวันหมดอายุ”คำว่า “Neuroplasticity” มาจากรากศัพท์ที่แปลว่า “การปั้นหรือการก่อร่าง” ซึ่งเป็นความสามารถของสมองในการ “จัดระเบียบใหม่” โดยอาศัยกลไกหลักสองอย่างที่สำคัญต่อชีวิตประจำวันของเราหนึ่ง...Structural Plasticity การเปลี่ยนรูปทรงสมอง นี่คือการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เกิดขึ้นจริงในสมองของเรา เช่น การสร้างทางเชื่อมใหม่ระหว่างเซลล์ประสาทตัวอย่างใกล้ตัวการที่ผู้ป่วยอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมองสามารถเรียนรู้ที่จะเคลื่อนไหวส่วนที่อ่อนแรงได้อีกครั้ง ผ่านการทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือการที่สมองส่วนที่ยังดีอยู่กำลังถูกกระตุ้นให้สร้างวงจรประสาทใหม่ เข้ามาทำหน้าที่ชดเชยส่วนที่เสียหายไปนั่นเองสอง...Functional Plasticity การสลับหน้าที่ของสมอง สมองส่วนหนึ่งสามารถรับหน้าที่แทนส่วนที่เสียหายได้หรือปรับเปลี่ยนความแข็งแกร่งในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท...Long-Term Potentiation (LTP) คือการเสริมความแกร่งให้กับการเชื่อมต่อ เมื่อเรากระตุ้นเซลล์ประสาทคู่หนึ่งซ้ำๆหลักการนี้เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้และความจำที่ว่าเซลล์ประสาทที่ยิงพร้อมกัน จะเชื่อมต่อกัน...“ทฤษฎีเก่าบอกว่าเซลล์ประสาทใหม่หยุดสร้างในวัยผู้ใหญ่ แต่ปัจจุบันพบว่ายังคงเกิดขึ้นได้ในฮิปโปแคมปัสซึ่งเป็นศูนย์กลางความจำของเรา การออกกำลังกายและสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้ คือตัวเร่งปฏิกิริยานี้”ความเข้าใจใน Neuroplasticity ได้เปิดมิติใหม่ในการรักษาโรคทางระบบประสาทที่เคยถูกมองว่า “หมดหวัง”...ฟื้นฟูผู้ป่วย Stroke/TBI การทำกายภาพบำบัดที่เน้นการใช้งานส่วนที่อ่อนแรงอย่างเข้มข้น ช่วยบังคับให้สมองส่วนที่ดีต้องปรับตัวและรับหน้าที่ของส่วนที่ตายไป ทำให้ผู้ป่วยฟื้นฟูการเคลื่อนไหวได้จริงรักษาโรคซึมเศร้า...การบำบัดด้วยยาต้านซึมเศร้าหรือการบำบัดด้วยไฟฟ้า (ECT) สามารถกระตุ้นการสร้าง BDNF (Brain-Derived Neurotrophic Factor) ซึ่งเปรียบเสมือน “อาหารบำรุง” ให้เซลล์ประสาทเติบโตและแข็งแรงขึ้น...หรือจัดการความปวดเรื้อรัง ความปวดเรื้อรังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงวงจรประสาทของสมองการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT) จึงช่วย “ฝึกสมอง” ให้ลดการตอบสนองต่อสัญญาณความเจ็บปวดที่ผิดปกติได้ นี่คือ “สมองยืดหยุ่นไร้ขีดจำกัด”...เชื่อมโยงประเด็นวิกฤติ “สมองเสื่อม” ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของคนแก่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ย้ำชัดเจนว่า โรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ ไม่ใช่เรื่องปกติของความสูงวัยแต่เป็น “โรค” ที่มีสาเหตุและกลไกความเสื่อมชัดเจน อ้างถึงงานวิจัยหนึ่งที่ชี้ว่า ผู้สูงวัยอายุ 80 ปีขึ้นไป สามารถมีสภาพความจำและการทำงานของสมองเทียบเท่าคนอายุ 50 ปีได้ โดยปัจจัยสำคัญไม่ได้เกี่ยวกับความมั่งคั่ง แต่มาจากการดูแลตัวเองและปัจจัยไลฟ์สไตล์ถัดมา...ผู้ป่วยสมองเสื่อมไม่ได้มีแค่อาการหลงลืม แต่ยังรวมถึงการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมที่แปรปรวน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ผู้ดูแลต้องทำความเข้าใจ หากถามว่าปัจจัยเร่งสมองเสื่อมมีอะไรบ้าง ต้องบอกว่าคือ...สภาวะต่างๆที่ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในร่างกายปัจจัยเหล่านี้คือตัวการเร่งให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น ได้แก่ โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมัน มลพิษ (PM 2.5) และสารเคมีปนเปื้อนในอาหาร รวมถึงการติดเชื้อบางชนิด เช่น โควิด-19 (Long COVID) ไข้เลือดออก“ลำไส้” คือต้นตอของโรคทางสมอง นพ.ธีระวัฒน์ นำเสนอแนวคิดที่เชื่อมโยงสุขภาพลำไส้กับสุขภาพสมองอย่างชัดเจน โดยเฉพาะโรคพาร์กินสัน...เส้นประสาทเวกัส (Vagus Nerve) คือสะพาน อ้างอิงจากงานวิจัยที่สนับสนุนสมมติฐานที่ว่า...โรคพาร์กินสันอาจมีต้นตอมาจากระบบทางเดินอาหารแล้วแพร่กระจายผ่านเส้นประสาทสมองเส้นที่ 10 ไปยังสมอง...จุลินทรีย์ในลำไส้กำหนดสุขภาพ การบริโภคอาหารที่เน้นผักผลไม้จะช่วยให้ลำไส้อุดมไปด้วยแบคทีเรียตัวดี ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้มีการสกัดสารที่ก่อให้เกิดปัญหาเส้นเลือดอุดตันและสมองเสื่อมได้ การปรับอาหารจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาอีกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ “สมอง” ก็คือการนอน...นอนไม่ดี ชีวิตพัง สมองเสื่อมเร็ว? ย้ำว่าการนอนหลับเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับการสะสมสารพิษในสมอง “อดนอนคืนเดียวสารเทาพุ่ง”การอดนอนเพียงคืนเดียว สามารถทำให้ระดับสาร “เทา (Tau)” ซึ่งเป็นโปรตีนพิษที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากมีการสะสมต่อเนื่องจะเร่งกระบวนการสมองเสื่อมเวลาการนอนที่เหมาะสม...การนอนหลับที่ดีต้องมีคุณภาพและอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม การนอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงหรือนอนมากเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน ล้วนเพิ่มความเสี่ยงสมองเสื่อมและโรคอื่นๆ“สุขภาพดีสมองใสขึ้นอยู่กับตนเองต้องลงทุน อย่าคิดว่าจะมีทางลัด...เราจำเป็นต้องสร้างต้นทุนสุขภาพด้วยการเข้าใกล้มังสวิรัติ งดเนื้อสัตว์ กินปลาได้ ลดแป้ง ออกกำลังสม่ำเสมอ ตากแดด และอย่าลืมว่าการได้รับสารเคมีปนเปื้อนในอาหารและน้ำรวมทั้งมลพิษเป็นตัวการสำคัญ”.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม