“สีหศักดิ์” ย้ำหลังร่วมประชุม รมต.ต่างประเทศอาเซียน ไม่มีข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการ รอหารือ GBC ที่จันทบุรี 24 ธ.ค.นี้ ยังหวังเห็นความจริงใจของกัมพูชาที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ “อนุทิน” เรียกประชุมด่วน สมช.ถกหลังพบโดรนบินเหนือพื้นที่สนามบิน ก่อนได้ข้อสรุปให้หน่วยงานเกี่ยวข้องจัดการโดรนที่เข้ามาในพื้นที่ รวมถึงเร่งประชาสัมพันธ์บินโดรนพื้นที่ความมั่นคง มีโทษถึงประหารชีวิต ส่วนแนวชายแดนยังปะทะต่อเนื่องวันที่ 15 ทำกำลังพลไทยสูญเสียอีก 1 นาย ที่บ้านคลองแผง อ.ตาพระยาเข้าสู่วันที่ 15 ของการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และคงมีการยิงตอบโต้กันไปมาแต่เช้า ที่ จ.สุรินทร์ จ.บุรีรัมย์ และหนักหน่วงที่ชายแดนฝั่ง จ.สระแก้ว ทำให้ทหารพลีชีพเพิ่มอีก 1 นายF-16 บอมบ์ฐานเขมรบึงตะกวนเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคงว่า กองทัพไทยเริ่มปฏิบัติการตอบโต้ทางทหารต่อเป้าหมายของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่แนวชายแดนตาพระยา-บึงตะกวน จ.สระแก้ว ตั้งแต่เวลา 05.00-06.30 น. หลังตรวจพบความเคลื่อนไหวและการใช้อาวุธโจมตีจากฝั่งตรงข้ามอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามแผนยุทธการด้านความมั่นคง เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน เครื่องบิน F-16 ขึ้นบินจากฐานปฏิบัติการและเข้าพื้นที่เป้าหมายอย่างแม่นยำ ก่อนถอนกำลังกลับโดยปลอดภัย ขณะเดียวกัน คลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ฝั่งกัมพูชา แสดงให้เห็นเสียงเครื่องยนต์อากาศยานและการบินต่ำในบางช่วง ส่งผลให้ประชาชนในเมืองปอยเปตประเทศ กัมพูชา แตกตื่น บางส่วนเร่งอพยพออกจากพื้นที่ใกล้แนวชายแดนเขมรยิงจรวดถล่มชุมชนไทยจากนั้นเวลา 07.20 น.มีรายงานว่า ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธหนักยิงข้ามแดนเข้ามายังฝั่งประเทศไทย กระสุนบางส่วนตกลงในพื้นที่ชุมชน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เป็นพิกัดใหม่ที่ไม่ไกลจากบ้านหนองหญ้าแก้ว ลักษณะเป็นการยิงกระสุนแบบไม่เจาะจงเป้าหมาย ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่บ้านดอนหลุม ได้รับผลกระทบโดยตรง หนึ่งในนั้นคือ บ้านของนายพิสูตร จิตต์เทศ ถูกกระสุนปืนตกใส่จนเกิดไฟลุกไหม้ เสียหายอย่างหนัก โชคดีที่ขณะเกิดเหตุไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่อพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงไปก่อนแล้วรฟท.ปรับเส้นทางรถไฟอรัญฯขณะเดียวกัน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ออกประกาศปิดสถานีอรัญประเทศ พร้อมปรับเปลี่ยนขบวนรถสายตะวันออกเป็นการชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ จ.สระแก้ว ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเทศบาลเมืองอรัญประเทศประกาศอพยพประชาชนในเขตเทศบาลและพื้นที่ใกล้เคียงไปยังศูนย์อพยพ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ดังนี้ ขบวนรถธรรมดาที่ 279 กรุงเทพ (หัวลำโพง)-อรัญประเทศปรับเปลี่ยนเป็นกรุงเทพ (หัวลำโพง)-สระแก้ว ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม ขบวนรถธรรมดาที่ 280 อรัญประเทศ-กรุงเทพ (หัวลำโพง) ปรับเปลี่ยนเป็นสระแก้ว-กรุงเทพ (หัวลำโพง) ขบวนรถธรรมดาที่ 275/276 กรุงเทพ (หัวลำโพง)- อรัญประเทศ-กรุงเทพ (หัวลำโพง) ปรับเปลี่ยนเป็น กรุงเทพ (หัวลำโพง)-สระแก้ว-กรุงเทพ (หัวลำโพง)พบทหารเขมรซุ่มยิงไทยผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์เพิ่มเติมว่า บริเวณโซนสอง พื้นที่ใกล้บ้านวังมน และวัดวังมน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พบความเคลื่อนไหวผิดปกติจากฝั่งกัมพูชา มีรายงานว่า ทหารกัมพูชาได้ขึ้นไปตั้งฐานบนอาคารสูง และใช้อาวุธยิงออกมาจากตัวอาคารเป็นระยะลักษณะคล้ายการสร้างสถานการณ์กดดันในพื้นที่ จุดดังกล่าวอยู่ห่างจากหน้าด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ไม่ถึง 1 กิโลเมตร ทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยต้องเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกัน อีกจุดหนึ่งบริเวณพื้นที่บ้านเขาดิน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว อยู่ตรงข้ามกับฝั่งกัมพูชาในเขตบ้านสำเภาลูน อ.มาลัย จ.พระตะบอง ทำให้มีรายงานว่าประชาชนชาวกัมพูชาจำนวนมากกำลังเร่งอพยพออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด หวาดวิตกจากเสียงอาวุธและสถานการณ์การสู้รบที่อาจขยายวง“ตาควาย–ตาเมือนธม” ปะทะต่อสำหรับสถานการณ์ชายแดนด้านอีสานใต้ที่ จ.สุรินทร์ เวลาประมาณ 05.00 น. ทหารไทยเปิดฉากยิงปืนใหญ่สกัดการเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชาแต่เช้ามืด ที่ชายแดนปราสาทตาควาย เนิน 350 ช่องกร่าง และปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เสียงปืนใหญ่ดังเป็นระยะๆหลังทหารไทยตรวจพบทหารกัมพูชาเคลื่อนไหวและพยายามเสริมกำลังและอาวุธหนักเข้ามาประชิดชายแดน ในพื้นที่เป็นจุดยุทธศาสตร์เดิมที่ทหารกัมพูชาถูกไทยยึดคืนและยิงผลักดันออกจากแนวชายแดนของไทยอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเวลาประมาณ 10.20 น. ทหารกัมพูชายังเปิดฉากยิงจรวด BM-21 เข้ามาในพื้นที่ชายแดนด้านปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก และไทยได้ยิงตอบโต้กลับเป็นระยะๆ ก่อนที่กัมพูชายิงจรวด BM-21 เข้ามาอีก 2 ชุดบริเวณชายแดนปราสาทตาเมือนธม จุดเดิม เวลาประมาณ 11.00 น. และ 12.09 น. รวมครึ่งวัน กัมพูชายิงจรวด BM-21 เข้ามาแล้ว 3 ชุดบ้านกรวดเสียงปืนไม่แผ่วนายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความไม่สงบฯว่า อำเภอที่ประกาศเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย 4 อำเภอ มี อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.ประโคนชัย และ อ.ละหานทราย สถานการณ์เริ่มเบาบางลง ทำให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว ทยอยเดินทางกลับเข้าไปดูบ้านเรือนบางส่วน ทางจังหวัดได้ประสานฝ่ายทหารและฝ่ายปกครอง เพื่อประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา หากเกิดสถานการณ์กลับมารุนแรงขึ้น จะให้เดินทางกลับเข้ามายังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ได้จัดไว้ เพื่อความปลอดภัย ส่วนพื้นที่ที่ยังคงต้องมีการเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา และไม่อนุญาตให้ประชาชนเดินทางกลับเข้าไปในพื้นที่ คือ ต.จันทบเพชร ต.สายตะกู และ ต.โคกกระชาย อ.บ้านกรวด เพราะว่ายังมีเสียงการปะทะและเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นเป็นระยะทหารสละชีพอีก 1 นายต่อมาเพจกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) ได้โพสต์แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัว ส.อ.กัมปนาท ทองแสง สังกัดกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บ้านคลองแผง อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ทภ.1 ขอเชิดชูเกียรติในความเสียสละทำหน้าที่ชายชาติทหารปกป้องแผ่นดินไทยด้วยชีวิต จะดูแลจัดพิธีศพอย่างสมเกียรติ และดูแลสิทธิต่างๆให้กับครอบครัวอย่างครบถ้วน ถือเป็นการเสียกำลังพลเป็นรายที่ 22 นับตั้งแต่มีการปะทะรอบใหม่นี้ โดย ส.อ.กัมปนาท เกิดที่ อ.คอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ แล้วย้ายถิ่นฐานมาอยู่กับแม่และป้าที่บ้านหนองหญ้าข้าวนก ต.ละหาน อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ ซึ่งจะมีการนำร่างกลับมาประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดเจริญสูง หมู่ที่ 4 ต.ละหาน อ.จัตุรัสนายกฯเรียกถก ผบ.เหล่าทัพที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หารือร่วมกับ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผบ.ทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. รวมถึงนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จากนั้นนายอนุทินเป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 17/2568 มี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงตัวแทนจากกรมท่าอากาศยาน สำนักงานการบินพลเรือน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมทูตพิเศษจีนพบ “อนุทิน”ต่อมานายอนุทินให้สัมภาษณ์หลังการหารือกับนายเติ้ง ซีจวิน (H.E. Mr. Deng Xijun) เอกอัครราชทูตและผู้แทนพิเศษด้านกิจการเอเชีย กระทรวงการต่างประเทศจีน และนายจาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า นายเติ้ง ซีจวิน พบกับฝ่ายกัมพูชามาแล้ว และมาพบกับฝ่ายไทยในรายละเอียด ความที่จีนดำรงสถานะประเทศเป็นกลาง ไม่อยากเห็นความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ แต่จีนไม่ได้ให้เราทำข้อตกลงอะไร เพียงแต่ให้สร้างสันติภาพ ซึ่งไทยมีจุดยืนชัดเจนอยู่แล้วบินโดรนพื้นที่มั่นคงมีโทษถึงประหารสำหรับผลการประชุม สมช.ที่มีสาระสำคัญที่การพบจุดแสงคล้ายกลุ่มโดรน เหนือสนามบิน สุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา โดยนายฉัตรชัย บางชวด เลขาฯ สมช. แถลงว่า ที่ประชุมได้หารือกรณีพบโดรนเข้ามาในพื้นที่จุดสำคัญๆ ทั้งพื้นที่สนามบิน และจังหวัดชายแดน และมีมติที่สำคัญ 2 ส่วน คือมาตรการระยะเร่งด่วน และมาตรการระยะยาว สำหรับมาตรการเร่งด่วน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานการบินพลเรือน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สนับสนุนการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการจัดการกับโดรนเป้าหมายที่เข้ามาในพื้นที่ รวมถึงกำหนดมาตรการป้องกันสืบสวนสอบสวนและแอนตี้โดรน ให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้กระทรวงกลาโหมผ่อนคลายมาตรการอนุญาตให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาแอนตี้โดรนได้ ที่เป็นยุทธภัณฑ์ต้องขออนุญาตกองทัพ ให้มีการเข้มงวดในการนำเข้า และตรวจสอบการลักลอบนำเข้าโดรน และประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าการบินโดรนเข้ามาในพื้นที่ความมั่นคง มีโทษร้ายแรง โดยเฉพาะสนามบิน ที่มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต หากมีการใช้โดรนและพบว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญาด้วยให้ตั้งศูนย์จัดการโดรนแห่งชาตินายฉัตรชัยกล่าวว่า มาตรการระยะยาว ก่อนหน้านี้ สมช.เคยมีมติให้กองทัพอากาศเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งองค์กรศูนย์บริหารจัดการควบคุมต่อต้านอากาศยานไม่มีคนขับแห่งชาติ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยในอนาคต รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมในการใช้เครื่องมือดังกล่าว ซึ่งเป็นทักษะขั้นสูง และเห็นชอบทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเรื่องของการเพิ่มโทษ ในกรณีที่มีการใช้โดรนกระทบต่อความมั่นคงจบปัญหาได้ต้องหารือทวิภาคีเลขาฯ สมช.กล่าวด้วยว่า สำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนเพื่อพูดถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ประเทศมาเลเซีย เป็นเรื่องดีที่ฝ่ายต่างๆ เข้ามาขับเคลื่อน แต่ที่ประชุมยืนยันหลักการตามที่เคยมีมติ สมช.ไปแล้วว่า เป้าหมายปลายทางสุดท้ายต้องเป็นการหารือทวิภาคีไทย-กัมพูชาไทยย้ำยึดมั่นสันติภาพที่ชัดเจนส่วนที่โรงแรมแกรนด์ไฮเอท กรุงกัวลาลัมเปอร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.00 น. ตามเวลามาเลเซีย เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ (รมว.กต.) เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของอาเซียน สมัยพิเศษ หารือถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มีผู้เข้าร่วมจาก 11 ประเทศสมาชิก ยกเว้นเมียนมา ที่ประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมีนายโมฮาหมัด บิน ฮาจิ ฮาซาน รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย เป็นประธาน โดยทางไทยขอบคุณมาเลเซียที่เปิดเวทีประชุมในกรอบภูมิภาค เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง พร้อมแสวงหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ และภายหลังประชุม นายสีหศักดิ์แถลงว่า ไทยมีจุดยืนและย้ำยึดมั่นสันติภาพที่ชัดเจนและยั่งยืน มีความปรารถนาดีต่อประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ไทยพยายามแก้ปัญหาผ่านกรอบทวิภาคีตลอด แต่กัมพูชาพยายามนำประเด็นเข้าสู่กรอบสหประชาชาติซัดเขมรไม่ตอบเรื่องทุ่นระเบิดนายสีหศักดิ์กล่าวว่า ส่วนการลงนามข้อตกลง หยุดยิง 28 ก.ค.22568 และข้อตกลงสันติภาพที่กัวลาลัมเปอร์ 26 ต.ค.2568 สะท้อนถึงความตั้งใจของไทยเดินสู่สันติภาพ แต่กัมพูชาต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดให้ครบถ้วน ทั้งลดอาวุธ ลดกำลังทหาร เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดน-สแกมเมอร์ และแก้ปัญหารุกล้ำพื้นที่ โดยเฉพาะการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ไทยให้ความสำคัญยิ่ง หลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจนขาดมาแล้ว 6 ครั้ง หลังลงนามข้อตกลงยังเกิดเหตุซ้ำเป็นครั้งที่ 7 เป็นเรื่องที่คนไทยต้องการคำอธิบายที่ชัดเจน จนถึงขณะนี้ไม่ได้รับคำตอบที่เป็นรูปธรรมจากกัมพูชานัดหารือต่อที่ GBC จันทบุรีรมว.กต.กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ไทยไม่มีเจตนากล่าวโทษฝ่ายใด แต่ต้องการให้เกิดกระบวนการหยุดยิงที่แท้จริง แม้กัมพูชาพูดถึงการหยุดยิงในเวทีต่างๆ แต่กลับไม่เคยหารือกับไทยโดยตรง ทำให้เดินหน้าสู่สันติภาพเป็นไปได้ยาก ดังนั้นไทยเสนอให้หารือระหว่างทหาร 2 ฝ่าย ผ่านกรอบคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee-GBC) ที่กัมพูชายอมรับข้อเสนอ และเห็นชอบให้ประชุม GBC วันที่ 24 ธ.ค.ที่ จ.จันทบุรี เพื่อหารือขั้นตอนต่างๆ ในการนำไปสู่การหยุดยิงอย่างเป็นรูปธรรม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการ รอผลหารือ GBC ไทยหวังเห็นความจริงใจของกัมพูชาที่สะท้อนผ่านการปฏิบัติเป็นรูปธรรม เพื่อสันติภาพที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงสันติภาพที่อยู่บนกระดาษเท่านั้นไม่มีข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันวันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนวาระพิเศษ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยขแมร์ ไทมส์ สื่อของกัมพูชา รายงานว่าการประชุมครั้งนี้ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชาได้ เนื่องจากนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศของไทย ยืนยันที่จะให้กัมพูชาปฏิบัติตามเงื่อนไข 3 ข้อของไทยในการหยุดยิง ประกอบด้วย 1.กัมพูชาต้องประกาศหยุดยิงก่อนและกัมพูชาต้องยอมรับว่าเป็นฝ่ายเริ่มยิงก่อน 2.การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง ไม่มีการกลับมาใช้ความรุนแรงอีก และ 3.กัมพูชาต้องร่วมมือกับไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเขมรให้ไทยหยุดยิงเที่ยงคืนนี้ขณะที่นายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศและความร่วมมือนานาชาติของกัมพูชา กลับยืนยันให้ฝ่ายไทยหยุดยิงภายในเวลาเที่ยงคืนวันที่ 22 ธ.ค. ซึ่งต่อมาตัวแทนฝ่ายไทยเรียกร้องให้กัมพูชา ส่งเอกสารขอหยุดยิงอย่างเป็นทางการให้กับไทย ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกันได้ในการประชุมครั้งนี้ หลังการประชุม นายสีหศักดิ์และนายปรัก สุคน ได้แยกกันหารือกับนายโมฮัมหมัด บิน ฮาจิ ฮาซาน รมว.ต่างประเทศของมาเลเซีย เพื่อพูดคุยขั้นตอนต่อไปของการเจรจาหยุดยิง 2 ฝ่ายพบโดรนใกล้สนามบิน 2 คืนติดเวลา 15.00 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมด้วย พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมแถลงข่าวถึงมาตรการป้องกันและรับมือการบินโดรนโดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังตรวจพบความเคลื่อนไหวของโดรนในพื้นที่ใกล้เขตการบินเมื่อช่วงค่ำ คืนวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยนายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ภายหลังได้รับแจ้งเหตุ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ประสาน สภ. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้าตรวจสอบทันที และจากการรวบรวมข้อมูลพบว่า มีการบินโดรนในพื้นที่ใกล้เคียงสนามบินอย่างน้อย 2 คืนติดต่อกัน ส่วนใหญ่ตรวจพบทางทิศตะวันออกของสนามบิน บริเวณแนวรั้วติดกองส่งน้ำ ในช่วงเวลาประมาณ 19.00-21.00 น. ลักษณะการบินพบเพียงครั้งละ 1-2 ลำ สลับกันขึ้นบิน ใช้เวลาต่อครั้งประมาณ 10-20 นาที ไม่ได้มีจำนวนมากตามกระแสข่าวลือก่อนหน้านี้ และยังไม่สามารถสรุปแรงจูงใจได้ชัดเจนว่าเป็นความคึกคะนองหรือเกี่ยวข้องกับประเด็นด้านความมั่นคง ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนอย่างละเอียดห้ามอ้างทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ผู้ที่ฝ่าฝืนนำโดรนขึ้นบินในเขตพื้นที่การบินของสนามบิน ถือเป็นการกระทำผิดร้ายแรงในเขตความมั่นคงสูงสุด มีบทลงโทษตามกฎหมายสูงสุดถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต ดังนั้นฝากไปถึงผู้ที่จะทำการใดๆในพื้นที่สนามบิน ซึ่งเป็นเขตความมั่นคงหรือฝ่าฝืนคำสั่ง จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย การประชาสัมพันธ์บทลงโทษดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อป้องปรามและสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน ไม่ให้กระทำการโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือฝ่าฝืนกฎหมายโดยเด็ดขาดให้ ทอท.จัดหาอุปกรณ์แอนตี้โดรนนายกิตติพงศ์ยังกล่าวถึงผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ วาระเร่งด่วน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า ในด้านนโยบายและแผนการดำเนินงานนั้น มีมติอนุมัติให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ดำเนินการจัดหาอุปกรณ์ตรวจจับและต่อต้านโดรน (Anti-drone) ที่มีความทันสมัยที่สุดมาใช้เป็นของหน่วยงานเอง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามในอนาคต โดยกำชับให้เร่งรัดกระบวนการจัดหาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ระหว่างนี้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังคงได้รับการสนับสนุนยุทโธปกรณ์จากหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่องตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการร่วม 3 เหล่าทัพ”ด้าน พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 1 เปิดเผยว่า ในส่วนของการปฏิบัติงานภาคสนาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับอย่างเข้มข้น มีการตั้งจุดตรวจค้นรอบสนามบินตลอด 24 ชั่วโมง ตรวจสอบบุคคล ยานพาหนะ โกดังสินค้า และสถานที่ต้องสงสัย รวมถึงเข้าตรวจสอบร้านค้าที่จำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวข้องกับโดรน ตลอดจนเข้าพบผู้ครอบครองโดรนที่ขึ้นทะเบียน ร้านค้า และสถานที่พักอาศัยในพื้นที่ เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อกฎหมายและป้องกันการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการร่วมสามเหล่าทัพ” ประกอบด้วย กองทัพบก กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อบูรณาการการเฝ้าระวัง ตรวจจับ และสกัดกั้นโดรนอย่างเป็นระบบ มีผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการยุทธการ ขณะที่ตำรวจจะปฏิบัติการภายใต้แผนยุทธการเดียวกัน พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลข่าวกรองระหว่างหน่วยงานอย่างใกล้ชิดผบ.ตร.ยันไม่ใช่โดรนพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เปิดเผยถึงเหตุพบวัตถุลักษณะคล้ายโดรนบินเหนือสนามบินสุวรรรภูมิว่า ได้รับรายงานเหตุเมื่อช่วงค่ำวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา พบวัตถุลักษณะคล้ายโดรนบินอยู่บริเวณปลายเส้นทางบินรันเวย์ที่ 1 ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้สั่งการให้ ผบช.ภ.1 รวมถึงหน่วยงานในพื้นที่รอบสนามบินเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและตั้งจุดตรวจโดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่ จากการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยและกองทัพอากาศ พบว่าแสงที่ประชาชนพบเห็น เป็นแสงจากเครื่องบิน รวมถึงแสงจากหมู่ดาว ไม่พบการบินของโดรนในพื้นที่ต้องห้ามแต่อย่างใด ขอเตือนประชาชนและผู้ครอบครองโดรนให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด การนำโดรนขึ้นบินในพื้นที่หวงห้าม โดยเฉพาะบริเวณสนามบิน ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มีโทษหนักสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิตยังไม่พบจารชนเขมรแทรกซึมส่วนที่มีกระแสข่าวการแฝงตัวหรือใช้โดรนก่อกวนแรงงานจากประเทศกัมพูชาในพื้นที่ จ.สมุทร ปราการ นั้น ผบ.ตร.กล่าวว่า จากข้อมูลด้านการข่าวในขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานว่าเป็นการกระทำดังกล่าว ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่พบข้อมูลหรือหลักฐานว่า มีจารชนจากประเทศดังกล่าวเข้ามาซุกซ่อนในไทย แต่ได้สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคงของตำรวจตรวจสอบอย่างละเอียด หากพบจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด และเตือนผู้ประกอบการหรือเจ้าของสถานที่ที่ให้ที่พักพิงหรือจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย จะถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองอย่างเคร่งครัด และหากแรงงานเหล่านี้ออกไปก่อเหตุสร้างความวุ่นวายในพื้นที่ ผู้เกี่ยวข้องอาจมีความผิดเพิ่มเปิดคลิปเด็ดจากฝั่งเขมรช่วงเย็น ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ททบ.5 พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ เวลา 14.00 น.โดยได้เปิดคลิปวิดีโอยืนยันหลักฐานการเคลื่อนที่ของทหารที่ยิงจรวด BM-21 พร้อมระบุว่า มีการใช้พื้นที่หมู่บ้านในการอำพรางตัวเองและใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นฐานที่ยิงจรวด BM-21 มายังประเทศไทย หลักฐานต่างๆ เหล่านี้เรารวบรวมนำไปประท้วงในเวทีนานาชาติ เพื่อให้นานาชาติได้รับทราบความโหดร้ายของฝ่ายกัมพูชา ละเมิดสิทธิละเมิดอนุสัญญาต่างๆ ระหว่างประเทศส่งหลักฐานประท้วงนานาชาติขณะที่นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษก กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์ วันที่ 20 ธ.ค.2568 ที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลว่า กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือประท้วงไปถึงฝ่ายกัมพูชาและประธานภาคีอนุสัญญาออตตาวา รวมไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ครั้งนี้มีหลักฐานที่ตรวจพบจากในพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุที่เป็นสมุดโน๊ตของทหารกัมพูชา ที่มีทั้งพิกัดแผนที่การวางแผนวางระเบิด สะท้อนถึงเจตนาของฝ่ายกัมพูชา ถือเป็นข้อมูลหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ โดยปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้หยิบยกประเด็นนี้มาหารือกับผู้แทนพิเศษจีน เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. และยังเป็นประเด็นที่ปรากฏอยู่ในแถลงการณ์ของฝ่ายสหรัฐฯ โดยมีรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ขอให้ 2 ประเทศกลับสู่เส้นทางสันติTMAC เล็งฟ้องประชาคมโลกพ.อ.ศิวะ หว่างอากาศ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) กล่าวว่า จากเหตุการณ์กำลังพล สังกัดกองร้อยทหารช่าง หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่บ้านสามหลัง ต.ชำราก อ.เมืองตราด ไทยขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำของกองทัพกัมพูชา ที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และยังตรวจพบวัตถุพยานจำนวนมากที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แสดงถึงการวางแผน และการกระทำโดยเจตนาในการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และระเบิดแสวงเครื่อง ได้แก่ การตรวจพบแผนผังแสดงตำแหน่งการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและทุ่นระเบิดดัดแปลงในพื้นที่บ้านหนองรี ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติจะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการทุกกรอบการประชุม โดยเฉพาะการแจ้งต่อประชาคมระหว่างประเทศ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ให้รับทราบถึงการละเมิดต่อเนื่อง แสดงออกถึงความไม่จริงใจร่วมกันแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสอง และเป็นอุปสรรคสำคัญการนำไปสู่การสร้างสันติภาพในภูมิภาค รวมทั้งเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อทุกประเด็นที่กัมพูชาเคยให้คำมั่นต่อประชาคมโลกในทุกกรอบเวทีถล่มจุดพลซุ่มยิงจากปอยเปตขณะเดียวกัน มีรายงานว่า กกล.บูรพา ทภ.1 ได้ปฏิบัติการทำลายเป้าหมายอาคาร 2 หลัง ฝั่งปอยเปต ตรงข้าม ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว หลังมีการพิสูจน์ทราบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า อาคารดังกล่าวเป็นที่ตั้งของเครือข่ายสแกมเมอร์ และฝ่ายกัมพูชาใช้เป็นที่ตั้งพลซุ่มยิง ทำการยิงเข้าใส่ฝ่ายไทยในพื้นที่ อ.อรัญประเทศ และได้รับการพิสูจน์ทราบว่ามีการติดตั้งระบบแอนตี้โดรนภายในอาคาร ภายหลังการโจมตีสามารถสร้างความเสียหายให้กับอาคารดังกล่าว และไม่มีการยิงตอบโต้มาจากฝ่ายกัมพูชาอีก อีกทั้งยังทำให้เครือข่ายสแกมเมอร์หลบหนีออกจากอาคารจำนวนมากสรุป 3 พื้นที่สระแก้วปะทะเดือดศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว ประจำวันที่ 22 ธ.ค. ณ เวลา 18.00 น. กกล.บูรพาปฏิบัติภารกิจฯ เป็นวันที่ 15 มีการปะทะเพื่อยึดครองใน 3 พื้นที่ ได้แก่ 1.บ้านคลองแผง อ.ตาพระยา ฝ่ายกัมพูชาเสริมความแข็งแรงของที่มั่น และใช้อาวุธปืนใหญ่ เครื่องยิงลูกระเบิด ปืนเล็ก ยานรบ และใช้ BM-21 ระดมยิงตอบโต้มายังฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่องกว่า 120 นัด 2.บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง ฝ่ายกัมพูชาเสริมความแข็งแรงของที่มั่น และใช้อาวุธปืนใหญ่ เครื่องยิงลูกระเบิด ปืนเล็ก และใช้ BM-21 ระดมยิงตอบโต้มายังฝ่ายไทยกว่า 60 นัด และ 3.บ้านหนองจาน อ.โคกสูง ฝ่ายกัมพูชาเสริมความแข็งแรงของที่มั่น ใช้อาวุธปืนใหญ่ เครื่องยิงลูกระเบิด และปืนเล็กตอบโต้เข้ามายังฝ่ายไทย โดยวันนี้ F-16 กองทัพอากาศ ปฏิบัติการโจมตีที่หมายทางทหาร 2 ที่หมาย ในพื้นที่ฝั่งตรงข้ามบ้านคลองแผง และตรงข้ามบ้านหนองจานอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่