12 มีนาคม 1947-26 ธันวาคม 1991 เป็นช่วงสงครามเย็น เป็นความขัดแย้งทางการเมือง อุดมการณ์ และอำนาจระหว่างค่ายโลกเสรีที่นำโดยสหรัฐฯ และค่ายคอมมิวนิสต์ที่นำโดยสหภาพโซเวียต ย้อนไปในสมัยนั้นอวกาศเป็นเวทีโฆษณาชวนเชื่อระดับโลก สหรัฐฯและโซเวียตแข่งขันด้านอวกาศ เพราะอวกาศคือสัญลักษณ์ของอำนาจ ความมั่นคง และอนาคตของโลก ใครควบคุมอวกาศได้จะได้เปรียบด้านการโจมตีและป้องกัน เพิ่มศรัทธาของประชาชนและลดแรงกดดันทางการเมืองในประเทศ ทั้ง 2 ประเทศจึงใช้อวกาศเป็นภาพลักษณ์ความทันสมัยเพื่อดึงพันธมิตรการแข่งขันด้านอวกาศยุคสงครามเย็นเป็นการแข่งเพื่อศักดิ์ศรีและอุดมการณ์ ใครทำได้ก่อนถือว่าเหนือกว่าในเชิงระบบการเมือง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป 78 ปี บรรยากาศเหล่านั้นกำลังกลับมาอีกครั้งด้วยความเข้มข้นที่สูงกว่าเดิม เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งบริหาร ‘การรับรองความเป็นเลิศด้านอวกาศของอเมริกา’ หรือ ‘Ensuring American Space Excellence’ เมื่อ 18 ธันวาคม 2025 คำสั่งบริหารฉบับนี้มีเป้าหมายสำคัญคือการส่งมนุษย์กลับไปเหยียบดวงจันทร์ภายใน ค.ศ.2028 นี่ไม่ใช่เพียงภารกิจทางวิทยาศาสตร์ แต่คือการประกาศสงครามเย็นในมิติอวกาศกับจีนที่มีความก้าวหน้าอย่างพุ่งกระฉูดส่งตูดจัมโบ้ การแข่งขันด้านอวกาศยุคปัจจุบันเป็นการแข่งขันเรื่องสถานีอวกาศ ฐานดวงจันทร์ เครือข่ายดาวเทียม ระบบนำทาง ฯลฯ สหรัฐฯต้องการแข่งขันกับจีนเพื่ออำนาจเชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจระยะยาว ในยุคนี้ผู้ควบคุมอวกาศได้จริงคือผู้กำหนดกติกาโลกอนาคตอวกาศคือสนามรบใหม่ (Space as a warfighting domain) ที่ต้องแข่งขันทั้งด้านระบบสื่อสาร ดาวเทียมทหาร สงครามไซเบอร์และอวกาศ ในยุคสงครามเย็น การแข่งขันด้านอวกาศรัฐเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง แต่ปัจจุบันต้องอาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตร จึงจะสามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ความก้าวหน้าด้านอวกาศของจีนทำให้สหรัฐฯนั่งไม่ติด ไม่ว่าจะมีสถานีอวกาศที่ชื่อเทียนกง (Tiangong) เป็นของตนเอง จีนสามารถสร้าง ส่ง และดูแลสถานีได้โดยไม่ต้องพึ่งชาติตะวันตก แถมภารกิจสำรวจดวงจันทร์ก็สำเร็จต่อเนื่อง จีนส่งยานฉางเอ๋อ (Chang’e) ไปดวงจันทร์ในหลายภารกิจ เป็นชาติแรกที่ลงจอดด้านไกลของดวงจันทร์ และสามารถเก็บตัวอย่างดินดวงจันทร์กลับโลกได้สำเร็จด้วย ในภารกิจเทียนเวิ่น 1 (Tianwen-1) จีนสามารถโคจร ลงจอด และส่งรถสำรวจดาวอังคารได้ด้วยตัวเอง ซึ่งมีไม่กี่ชาติในโลกที่ทำได้ ที่สำคัญคือจีนมีระบบนำทางของตนเองคือเป่ยโต่ว (BeiDou) ที่ใช้ได้ทั้งพลเรือน ทหาร โลจิสติกส์ และโครงสร้างพื้นฐานที่ลดการพึ่งพาสหรัฐฯอย่างสิ้นเชิง จีนมีเทคโนโลยีดาวเทียมขั้นสูงไม่ว่าจะเป็นดาวเทียมสื่อสาร ดาวเทียมสอดแนม ดาวเทียมควอนตัมซึ่งเป็นการสื่อสารเข้ารหัสระดับสูง นอกจากนั้นจีนยังมีจรวด Long March ของตนเอง สามารถปล่อยภารกิจได้ต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่โชว์เป็นครั้งคราว อวกาศจึงเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติจีน ที่เชื่อมกับไซเบอร์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และกองทัพ จีนเก่งด้านอวกาศเพราะทำได้ครบวงจร ตั้งแต่จรวด ดาวเทียม สถานีอวกาศ จนถึงความมั่นคง และที่สำคัญคือไม่ต้องพึ่งใคร นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทรัมป์เร่งลงนามในคำสั่งบริหาร ‘การรับรองความเป็นเลิศด้านอวกาศของอเมริกา’ เพื่อแข่งขันกับจีน แม้ว่าสหรัฐฯจะเป็นผู้นำด้านอวกาศและมีเทคโนโลยีล้ำหน้า แต่สหรัฐฯยังต้องกังวลจีนเพราะกลัวเสียความเป็นผู้นำด้านอวกาศที่เป็นมายาวนานหลายทศวรรษ ด้วยความที่จีนสร้างระบบคู่ขนาน (Parallel system) ที่ไม่ต้องพึ่งพาสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯมองว่านี่คือภัยคุกคามต่อตำแหน่งผู้นำโลกของตน จีนพัฒนาศักยภาพทั้งที่ถูกกีดกันการเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูงได้เพราะจีนมีรัฐบาลที่วางแผนระยะยาวและลงทุนอย่างต่อเนื่อง ผ่านความล้มเหลวมาหลายครั้ง ผ่านการดูถูกมาหลายหน สะสมขีดความสามารถจริงทีละขั้น จนขึ้นมาแถวหน้าของโลกและกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯในปัจจุบันอวกาศคือโครงสร้างพื้นฐานของสงครามยุคใหม่ โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่เขตแดนของรัฐซึ่งไม่ได้สิ้นสุดอยู่ที่ชั้นบรรยากาศสหรัฐฯและจีนจึงเป็นคู่แข่งในการกำหนดกติกาอวกาศโลกตัวจริง.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.comคลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม