การเมืองไทยขึ้นอยู่กับการชิงไหวชิงพริบของนักการเมืองแต่ละขั้ว ขั้วไหนที่คุมอำนาจการต่อรองและมีอำนาจรัฐครอบงำได้มากกว่า ก็จะได้คุมอำนาจการบริหารการปกครองประเทศ ที่บริหารโดย มันนี่ โพลิติก และผลประโยชน์ต่างตอบแทน เพราะฉะนั้น พรรคการเมืองและนักการเมืองจึงมีเป้าหมายสำคัญในการเอาชนะเลือกตั้งคือการนำไปสู่อำนาจรัฐ หรือการจัดตั้งรัฐบาลระบบ มันนี่ โพลิติก ไม่ได้อยู่ในภาคการเมืองอย่างเดียว ยังมีอิทธิพลต่อภาคราชการ ภาคธุรกิจ กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ รวมทั้งสื่อสารมวลชนด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อใช้ ระบบมันนี่ โพลิติกนำการเมืองการปกครอง ใช้เงินให้ได้มา ซึ่งผลประโยชน์และอำนาจทุกมิติ กลายเป็นช่องว่างที่ ธุรกิจสีเทา การทุจริตคอร์รัปชัน เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลทำให้เกิดความอ่อนแอของบุคลากรในการบริหารปกครองประเทศและผลกระทบกับอนาคตของประเทศโดยตรง เช่น งบการขาดดุลเพิ่มขึ้นทุกปี หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น จีดีพีลดลง ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ความล้มเหลวในการบริหารภาวะฉุกเฉินและความน่าเชื่อถือลดลงอย่างต่อเนื่องเพราะฉะนั้น การปฏิรูปการเมือง จึง ไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเขียนกฎหมายให้ตัวเองพ้นผิด แต่ต้องแก้ไข ให้ความเป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรมและระบบการตรวจสอบ ที่ต้องอยู่เหนืออำนาจรัฐและไม่อยู่ภายใต้อำนาจเหนือรัฐธรรมนูญยกตัวอย่าง การชิงอำนาจทางการเมือง โดยผ่านนิติสงคราม ปรากฏว่า แดงเอาน้ำเงินไม่ลง แต่กลับกลายเป็นว่าน้ำเงินโค่นแดง จนย่อยยับไม่มีชิ้นดี ผลลัพธ์สุดท้ายกระบวนการยุติธรรมและกระบวนการตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คดีฮั้ว เลือก สว. หรือ คดีที่ดินเขากระโดง ที่คิดว่าจะสะเด็ดน้ำกลับทำท่าจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือความเสียหายตกอยู่กับ กระบวนการยุติธรรมจนฝังลึก ในขณะที่ แดงต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ ไม่กล้าไปตอบโต้ ยอมตามน้ำประคับประคองเอาตัวรอดไปวันๆ ไม่อย่างนั้น ดาบอภิปรายไม่ไว้วางใจ คงฟันฉับไปแล้ว ในเมื่อสถานการณ์เป็นใจขนาดนี้แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ สีส้มที่กอดคัมภีร์แน่นไม่รู้เท่าทันเกมการเมือง คิดว่าถือไพ่เหนือกว่าเพราะมี สส.มากที่สุด ตกกระไดพลอยโจนลึกลงไปเรื่อยๆ แม้แต่เรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญแบบ 20 หยิบ 1 เมื่อสีน้ำเงินมี 139+69 เห็นคาตาว่าใครจะได้สัดส่วนกรรมการยกร่างฯ มากที่สุด มีความฉลาดแต่ไม่เฉลียวไม่เชื่อลองไปถามพรรคการเมืองที่จับมือกันฮั้วเลือกสว.เพื่อจะต้านส้มดู หลังหักเป็นแถว.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม