ผมต้องวิ่งเข้าวิ่งออกโรงพยาบาลรามาธิบดีเสียหลายวัน เพราะโรคภัยไข้เจ็บประจำตัวที่ยังต้องรักษาและต้องบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องสละเวลาภาคกลางวันที่ปกติผมมักจะใช้ติดตามดูข่าวและการถ่ายทอดสดเหตุการณ์ที่ต่างๆ ทางยูทูบ ไปพบกับคุณหมอถึง 2 วันติดๆกันเพิ่งจะมีโอกาสนั่งดูรายการข่าวทางยูทูบได้ตลอดทั้งวัน (ตั้งแต่เช้าถึงประมาณบ่าย 3 โมงก่อนเขียนต้นฉบับวันนี้) เมื่อวันพุธที่ 26 พฤศจิกายนนี่เองครับดูแล้วก็เห็นด้วยกับ คุณเปิ้ล นาคร คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ และอาสาสมัครระดับชาติอีกหลายๆท่านที่โพสต์ข้อความยอมรับว่า ศึก น้ำท่วมหาดใหญ่ “ปี 2568” ครั้งนี้หนักหนาสาหัสและเกินกำลังของหน่วยกู้ภัย จิตอาสาที่เดินทางมาให้ความช่วยเหลือคุณ เปิ้ล นาคร นั้นถึงกับสารภาพว่าเขาร้องไห้เลย ขณะขับเจ็ตสกีไปตามซอกซอยของตึกและบ้านเรือนที่โดนน้ำท่วมสูงถึงหลังคาบ้านเรือนทั่วเมืองหาดใหญ่ แล้วพบว่ามีผู้คนรอรับความช่วยเหลืออยู่หลายๆพันคน...เกินกำลังที่เขาและเพื่อนจะช่วยเหลือได้ต้องขอขอบคุณอาสาสมัครใจเพชรทุกๆท่านทั้งที่เรารู้ชื่อและไม่รู้จักชื่อที่ยังกัดฟันสู้ต่อ เพราะหลังจากไปพักร้องไห้กันมาแล้วก็หวนกลับมาสู้ต่อไปตามเดิมแน่นอนในการบริหารเหตุการณ์วิกฤติหรืออุบัติภัยนั้น หากสามารถบริหารได้ดีสามารถช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์ได้เป็นส่วนใหญ่ รัฐบาลหรือทางฝ่ายราชการที่รับหน้าที่ในฐานะผู้บริหารเหตุการณ์ก็จะได้รับเสียงชื่นชมสรรเสริญแต่ในทางตรงข้าม ถ้าบริหารไม่ดีจนอะไรเละตุ้มเป๊ะไปพอสมควรดังเช่นเหตุการณ์ครั้งนี้ ผู้บริหารสถานการณ์ โดยเฉพาะหัวหน้ารัฐบาล คุณ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ก็ย่อมจะโดนสับเละเป็นหมูบะช่อไปตามระเบียบก็ขอให้รัฐบาลก้มหน้ารับเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเสียงด่าแต่โดยดีเถิด อย่าไปต่อล้อต่อเถียงใดๆทั้งสิ้นณ นาทีนี้ สิ่งที่ “นายกฯหนู” จะต้องทำคือเดินหน้าสั่งงานเพื่อให้การช่วยเหลือ ซึ่งเริ่มมาถูกทางแล้วไปสู่ความสำเร็จ อันหมายถึงจะเป็นผลทำให้หาดใหญ่และทุกๆจังหวัดในภาคใต้เสียหาย “น้อยที่สุด” ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสียในด้านทรัพย์สินหรือชีวิตผู้คนก็ตามอย่าลืมว่าเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้เป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดกว่าเมื่อ พ.ศ.2531, พ.ศ.2543 และ พ.ศ.2553 ที่ผ่านมาหลายเท่า ในเชิงฝนตกก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า “สุดขั้ว” หนักสุดในรอบ 300 ปีขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า รัฐบาลจากส่วนกลางและเทศบาลส่วนท้องถิ่นต่างก็ชะล่าใจ เพราะได้รับรายงานมาผิดๆทำให้ตกอยู่ในความประมาท ทั้งๆที่นายกฯอนุทินก็ลงไปแล้วในครั้งแรก แต่ไปพบว่าน้ำเริ่มลดจึงไปโชว์แค่ผัดหมี่ผัดข้าว และแจกอาหารโดยไม่ได้ทำอะไรที่เป็นแก่นสารในการป้องกันสาธารณภัยทางเทศบาลนครหาดใหญ่ก็ถึงขั้น “ตีธงเขียว” แสดงความปลอดภัย แต่ปรากฏว่าทุกอย่างเกิดโอละพ่อมีฝนลูกใหม่เข้ามากระหน่ำ ถึงขั้น “ชักธงแดง” แทบไม่ทันที่สำคัญทั้งรัฐบาลและเทศบาล อาจจะลืมไปว่าการแก้ปัญหาครั้งนี้มีคนจับตาดูอยู่ทั้งประเทศและมีการรายงานผลแบบนาทีต่อนาทีจากสำนักข่าวประชาชนผ่านมือถือเผยแพร่อย่างกว้างขวางต่างกับครั้งที่ผ่านมา รวมทั้งครั้งล่าสุดปี 2553 แม้จะเข้าสู่ยุคออนไลน์แล้วแต่ยังเป็นออนไลน์ผ่านระบบเครื่องคอมที่ยังไม่แพร่หลายเท่ากับยุคนี้ที่ขึ้นมาอยู่ในโทรศัพท์มือถือ...ซึ่งคนไทยเรามีกันครบทุกคนจึงเปรียบเสมือนมีคนเข้ามาติดตามการช่วยเหลือหาดใหญ่ครั้งนี้แบบถ่ายทอดสดตลอดคืนตลอดวันทางออนไลน์เพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเท่า...ทำให้เสียงเฮเสียงฮาเสียงโห่เสียงตะโกนด่าหรือตะโกนสอนให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ดังขึ้นอีกหลายสิบเท่าเช่นกันผมขอให้รัฐบาลและเทศบาลนครหาดใหญ่ตลอดจนฝ่ายรัฐ จงยอมรับความจริงข้อนี้ และทุ่มเททำงานแก้ตัวมุ่งหน้าช่วยเหลือพี่น้องชาวหาดใหญ่ และภาคใต้อย่างเต็มความสามารถต่อไปขอให้กำลังใจทุกฝ่ายในหน้างานขณะนี้ ตั้งแต่รัฐบาล, เทศบาล, ฝ่ายทหาร, ฝ่ายค้าน, อาสาสมัคร, องค์กรกุศลต่างๆ รวมทั้งพี่น้องชาวหาดใหญ่ และชาวใต้ทุกๆท่าน...ขอให้เชื่อเถิดครับว่า คนไทยเราไม่ว่าจะอยู่ภาคไหนจะไม่มีวันทอดทิ้งกัน.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม