วงการสีกากีกำลังถูกเขย่าครั้งใหญ่จาก “อดีตนายตำรวจออกมาฉีกม่านความจริง” ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเป็นเวลานานหลายทศวรรษ ตั้งแต่เงาอำนาจของระบบส่วยที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นวัฒนธรรมแฝงภายในองค์กรไปจนถึงขบวนการซื้อขายตำแหน่งที่ว่ากันว่ามีตั้งแต่หลักแสนถึงหลักหลายล้านบาทสิ่งเหล่านี้ถูกเล่าขานในวงการตำรวจมาหลายยุคสมัย ด้วยตำแหน่งที่สูงอำนาจก็มาก ผลประโยชน์ที่ควบคุมได้ยิ่งเพิ่มขึ้นล่อใจให้ใช้เส้นสายสูง ทำให้ความรู้สึกนี้ผ่านมาเป็นคำพูดของหลายคนว่า “ความสามารถไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินทุกอย่างในองค์กร” แต่เป็นความสัมพันธ์ อำนาจ และผลประโยชน์ที่กำหนดเส้นทางในอาชีพมากกว่าเรื่องอื้อฉาวครั้งนี้เผยให้เห็นถึง “รอยปริแตกในองค์กรทำลายศรัทธาประชาชน” คำถามจึงไม่ใช่ว่ามีส่วยหรือไม่ แต่คือใครปล่อยให้ระบบนี้เติบโตเป็นวงจรและตำรวจจะพิสูจน์อย่างไรว่าองค์กรนี้คือผู้รักษากฎหมายไม่ใช่เครือข่ายอาชญากรรม...? ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มองว่าต้องยอมรับกระแสตอนนี้ในวงการตำรวจมีประเด็นที่สังคมให้ความสนใจหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นขบวนการสแกมเมอร์ หรือกรณีมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนถูกกล่าวหาว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน ซึ่งเป็นประเด็นที่อดีตนายตำรวจออกมาเปิดเผย พร้อมทั้งมีการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกกว่า 200 นายเรื่องที่เกิดขึ้น “เปรียบเหมือนฝีสะสมมานานแล้วเพิ่งแตก” ด้วยการซื้อขายตำแหน่งในวงการตำรวจมีมาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30 ปี และทวีความรุนแรงชัดเจนในช่วง 10 ปีมานี้ เพราะตำรวจเป็นองค์กรที่มีอำนาจตามกฎหมายอยู่ในมือค่อนข้างมาก ทำให้ตำแหน่งต่างๆเป็นที่ต้องการของผู้ที่อยากควบคุมอำนาจและผลประโยชน์แล้วตลอดหลายปีมานี้ “ก็พูดถึงการปฏิรูปตำรวจ” แต่ไม่เคยได้รับการแก้ไข ส่งผลให้ระบบซื้อขายตำแหน่งรุนแรงจนแบ่งพรรคแบ่งพวกในองค์กร และแต่ละกลุ่มก็ต้องแย่งชิงอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายตนเอง เมื่อปัญหาถูกปล่อยทิ้งไว้ “การแย่งชิงอำนาจยิ่งเข้มข้น” จนถึงจุดที่ต่างฝ่ายยอมกันไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็มีปัจจัยจากอำนาจของภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลให้การแต่งตั้งผู้มีอำนาจชุดใหม่เข้าไปในระบบ ทำให้เส้นทางจัดสรรผลประโยชน์ และอำนาจไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันเหมือนเดิมนำไปสู่ความขัดแย้งที่ปะทุในเวลานี้สังเกตที่ผ่านมานั้น “ผู้ที่ควบคุมเกมการโยกย้ายภายในตำรวจ” มักเป็นคนในองค์กรตำรวจเอง ร่วมกับนักการเมืองผ่านโครงสร้างขั้วอำนาจภายในหน่วยงานเดิม แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีอำนาจจากภายนอกที่ไม่ใช่ตำรวจเข้ามาแทรกในการบริหารจัดการควบคุมแบ่งปันฐานอำนาจ และฐานผลประโยชน์ในระบบตำรวจยิ่งตอนหลังเราก็ยังเห็นว่า “กลุ่มถือตั๋วช้าง” ก็เข้ามาเป็นอีกหนึ่งศูนย์อำนาจใหม่ ทำให้ในระบบมีหลายกลุ่มผลประโยชน์ หลายขั้วอำนาจ เกิดขึ้นพร้อมกัน ดังนั้นการประสานจัดสรรผลประโยชน์ย่อมไม่ลงตัวตามมาเช่นนี้หากปล่อยให้ระบบตำรวจเป็นแบบเดิม “ประเทศจะเสียหาย และประชาชนก็เป็นฝ่ายเจ็บปวด” ด้วยที่ผ่านมาเราเห็นว่าตำรวจไม่ได้ยืนอยู่ข้างประชาชนอย่างจริงจัง เพราะเมื่อเกิดปัญหาตำรวจมักจะเลือกทำตามเจ้านาย หรือนักการเมืองที่ให้คุณให้โทษ และผลประโยชน์ ตำแหน่ง หรืออำนาจที่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเขาเองเหตุนี้จำเป็นที่สุดคือ “การปฏิรูปตำรวจ” ไม่เช่นนั้นประชาชนก็จะยังได้รับผลกระทบ และประเทศก็ไม่อาจเดินหน้าได้ทำให้การปฏิรูปต้องเน้นเรื่องผลประโยชน์ ความโปร่งใสและกระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นธรรมอีกประเด็นสำคัญที่พูดกันมานานคือ “การทำให้ตำรวจเป็นที่พึ่งใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น” อย่างเช่นโมเดลของญี่ปุ่น หรือสหรัฐฯที่ให้ตำรวจแยกเป็นหน่วยย่อยกระจายอยู่ในท้องถิ่นภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรง ซึ่งเป็นแนวทางที่จะช่วยให้ตำรวจใกล้ชิดชุมชนตอบสนองประชาชนได้ดีกว่าเดิมก่อนหน้านี้ในยุค “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ” ก็มีการพูดถึงการปฏิรูปตำรวจเหมือนกันในช่วงที่ท่านมีอำนาจก็ไม่ได้ปฏิรูปอย่างจริงจังโดยคำพูดที่คนไทยจำได้ก็คือ “การปฏิรูปตำรวจให้เป็นเรื่องของรัฐบาลหน้า” พอเมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งแม้เริ่มวางแนวทางปฏิรูปตามข้อเสนอคณะตั้งขึ้นมาแต่เมื่อร่างกฎหมายเข้าสภาฯ “แนวคิดดั้งเดิมถูกแปลงสาร” จนการปฏิรูปผิวเผินไม่ได้แก้โครงสร้าง สุดท้ายผลประโยชน์และอำนาจยังตกกับคนไม่กี่กลุ่ม ทำให้การปฏิรูปไม่สำเร็จและปัญหาถูกลากยาวมาจนถึงปัจจุบันถ้าถามว่า “ก่อนปฏิรูปตำรวจต้องกำจัดปัญหาภายในให้หมดก่อนหรือไม่” เรื่องนี้หากรอเคลียร์ทุกอย่างให้สะอาดหมดก่อน “คงไม่มีทางได้เริ่มปฏิรูป” เพราะปัญหาถูกฝังลึกและซับซ้อนเกินกว่าจะจัดการให้หมดในครั้งเดียว ดังนั้นต้องเริ่มเปลี่ยนโครงสร้างและระบบตั้งแต่วันนี้ และปรับยอด ปรับโครงสร้างใหญ่ให้เดินหน้าไปก่อนปัญหาภายในก็ต้องค่อยๆ “จัดการแก้ไขทำความสะอาดควบคู่กันไป” โดยเริ่มจากหัวเรือหลักบางคน เพราะเครือข่ายบ่อนขนาดใหญ่ บ่อนพนันออนไลน์ แก๊งสแกมเมอร์ ค้ามนุษย์หรือยาเสพติดรายใหญ่ สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยหากไม่มีผู้มีอำนาจระดับสูงคอยปกป้องสนับสนุนและปิดหูปิดตาเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทั้งหมดได้พูดง่ายๆ “งานระดับใหญ่ต้องมีหัวที่มีอำนาจมากพอคอยค้ำจุนระบบอยู่จึงจะเกิดขึ้นได้” ดังนั้นหากตำรวจส่วนใหญ่ที่เป็นคนดีตั้งใจทำงาน “ต้องการปกป้ององค์กร” พวกเขาต้องบอกผู้บังคับบัญชาให้เริ่มการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง เพราะวันนี้สังคม และโลกเปลี่ยนไปแล้วการใช้อำนาจแบบเดิมนั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไปด้วยประกาศยอมรับการปฏิรูปครั้งใหญ่ทั้งโครงสร้างอำนาจและวัฒนธรรมในองค์กรทำควบคู่กันไป เพราะเหตุการณ์นี้ตอกย้ำภาพลักษณ์เชิงลบในสายตานานาชาติจนระบบยุติธรรมถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือมาหลายปีเรื่องนี้คงต้องใช้คนนอกจัดการ “นักการเมืองก็ไม่กล้าแตะต้องตำรวจ” กลัวกระทบผลประโยชน์ตนเอง หากฝืนเปลี่ยนแปลงอาจไม่ได้รับความร่วมมือ หรือเข้าเกียร์ว่างในการดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชนเหตุนี้คนในต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง เปิดทางให้คนนอกเป็นกลางเข้ามาปฏิรูป ส่วนจะหวังพึ่งนายกฯได้หรือไม่นั้นยังไม่แน่ชัด “แต่หากแก้ปัญหาวงการตำรวจสำเร็จ” ย่อมส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน“เรื่องการปฏิรูปตำรวจจริงจังแบบพลิกฝ่ามือนั้นยังคงเป็นเรื่องที่อำนาจของฝ่ายการเมืองไม่กล้าแตะต้องระบบนี้มาทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นประชาชนควรถามตัวเองว่าทำไมนักการเมืองที่ได้ฉันทามติจากประชาชนยังไม่กล้าปรับเปลี่ยนองค์กรตำรวจ ทั้งที่การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อความสงบสุขของบ้านเมือง” ดร.มานะ ว่าย้ำว่าหากพูดถึงความหวังแก้ปัญหาในวงการตำรวจที่เต็มไปด้วยคอร์รัปชัน และปัญหาภายใน ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในองค์กร และคนนอกเป็นกลางมาผลักดันการปฏิรูปสร้างการเปลี่ยนแปลงจริงๆ.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม