ฝนที่ตกต่อเนื่องหลายวัน และมีปริมาณมากสุดรอบ 300 ปี จนเกิดน้ำท่วมหนักสุดรอบ 25 ปีใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และพื้นที่อื่นๆของสงขลา รวมถึงจังหวัดอื่นๆของภาคใต้ จนสร้างความเสียหายต่อชีวิต และทรัพย์สินประชาชนเป็นอันมากนั้นทำให้เห็นภาพ “ความด้อยประสิทธิภาพ” ของการ “เตือนภัยพิบัติ” ของไทย และการบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน และการช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาลที่ไม่ทันการณ์ทั้งๆที่ไทยมีหลายหน่วยงานมากที่จัดเก็บข้อมูลฝน น้ำ พายุ และที่สำคัญมี “คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ” ที่เป็นคลังกลาง และหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลไปใช้คาดการณ์สถานการณ์น้ำท่วม น้ำแล้ง ฝนตก พายุเข้า คลื่นลมทะเล ดินโคลนถล่ม ฯลฯ เพื่อนำไปใช้ “เตือนภัยพิบัติ” ประชาชนทั่วประเทศ แต่กลายเป็นว่า “การเตือนภัย” ล่าช้า แม้เตือนภัยประชาชนในพื้นที่เป็นระยะๆต่อเนื่อง อีกทั้งข้อความเตือนภัยผ่าน Cell Broadcast โดย “กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย” หรือ ปภ. กระทรวงมหาดไทย นั้นไม่ได้แสดงถึงความรุนแรงของสถานการณ์ หรือให้เร่งอพยพ โดยใช้ข้อความเพียง “ให้เก็บของขึ้นที่สูง ย้ายกลุ่มผู้เปราะบางไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ฯลฯ” ทำให้ประชาชนไม่เร่งรีบ รอดูสถานการณ์ แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงจากนั้น หลายพื้นที่น้ำท่วมหนัก จนไม่สามารถอพยพได้ส่งผลให้การบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาล การอพยพประชาชน การช่วยเหลือประชาชนล่าช้า จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะในสื่อโซเชียล!!หากเตือนภัยล่วงหน้าให้เร่งอพยพอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ประชาชนจะมีเวลาเตรียมตัว ความเสียหาย หรือความสูญเสียจะไม่มากขนาดนี้อะไรคือสาเหตุที่ทำให้การ “เตือนภัย” ล่าช้า ไม่ทันการณ์!!แต่เดิม หรือหลังสึนามิใหญ่ปี 47 รัฐบาลสมัยนั้นตั้ง “ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ” สังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการเตือนภัย ระดมความช่วยเหลือ และเป็นศูนย์สั่งการภัยพิบัติทั้งระบบ และยังทำงานเป็นอิสระ ขึ้นตรงกับนายกฯ มีงบประมาณของตนเอง ขั้นตอนการสั่งการ และการรายงานเพื่อขออนุมัติเป็นขั้นตอนสั้น โดยนายกฯสั่งการให้ศูนย์ฯดำเนินการได้ทันทีแต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลได้โอนการกำกับดูแลไปกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสุดท้าย เดือน ก.ย.59 โอนไปสังกัด ปภ. ตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2559 ทำให้ฐานะของศูนย์ฯที่เป็นระดับ “ศูนย์” เหลือเพียง “กอง” กว่าการรายงานภัยพิบัติจะถ่ายทอดจากนายกฯ-รมว.มหาดไทย-ปลัดมหาดไทย-อธิบดี ปภ.-ศูนย์ฯ หรือกว่าที่ข้อมูลจากศูนย์ฯจะไปถึงนายกฯ ต้องผ่านหลายคน จึงเกิดความล่าช้าที่สำคัญ การทำงานที่ไม่เป็น “Single Command” ที่สั่งการคนเดียว หรือหน่วยงานเดียว ทำให้การเตือนภัยไม่จบในที่เดียว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยัง “หวงอำนาจ” ทำให้การช่วยเหลือจากรัฐล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพตามไปด้วยประเทศไทยผ่านประสบการณ์เลวร้าย และการสูญเสียมามาก แต่ก็ไม่รู้จะทำให้หันกลับมามองข้อบกพร่อง และปรับปรุงให้ดีขึ้นได้หรือไม่??ฟันนี่เอสคลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม