ถ้าอ่านชื่อเรื่อง “นางเข่าตรงกรุใต้?” ก่อนดูภาพพระนางพญาวัดนางพญา พิษณุโลก พิมพ์ใหญ่เข่าตรง พิมพ์ 1 อีกชื่อเรียกตามจุดสังเกต “พุงป่อง” (มีพิมพ์เข่าตรงพิมพ์ 2 จุดต่างมือตกเข่า) คนรักพระนางพญาคงทำความเข้าใจไปด้วยกัน...จะสะดุด...ก็ตรงมีคำ “กรุใต้?” แถม “ปรัศนีย์” ต่อท้าย...คนรุ่นใหม่อาจไม่ได้ยินมาก่อนคนรุ่นเก่ารู้ นอกจากพบพระนางพญา ในลานดินวัดนางพญา ชาวบ้านเคยแตกตื่นขุดหากันกระจุยกระจายมาเมื่อ พ.ศ.2444 ปีที่รัชกาลที่ 5 เสด็จมาดูพระพุทธชินราชจำลอง (องค์ในโบสถ์วัดเบญจมบพิตร) แล้วต่อมาปี 2487- มีการพบพระนางพญาบริเวณที่ดินบ้านในละแวกตำบลบางสะแกของ นายปาน นาคเอม คนละฝั่งแม่น้ำน่าน ตรงข้ามวัดชีปะขาวหาย วงการเรียกกันสองชื่อ ชื่อแรก “กรุตาปาน” ชื่อสอง “กรุน้ำท่วม”เมื่อเอาฝั่งวัดนางพญา ติดวัดพุทธชินราช ริมแม่น้ำน่านเป็นเส้นผ่ากลาง นางพญากรุนี้ จึงเรียก “กรุใต้” ส่วนนางพญาที่พบใหม่ที่กรุตาปาน จึงถูกเรียก “กรุเหนือ”ผู้สันทัดกรณี นางกรุเหนือ ก็ต้องนับ “ตรียัมปวาย” ด้วย ตอนนั้น ครูรับราชการทหารยศ ร.อ.อยู่พิษณุโลก ครูเล่าว่า รู้จักตาปานดี...ตอนกรุแตก วันที่ไปหาถึงบ้าน ตาปานเรียงพระนางพญาพิมพ์ย่อมๆตากแดดไว้บนเสื่อลำแพนหลายร้อยองค์ (พิมพ์ใหญ่จำนวนน้อย ตาปานแยกเก็บ)ตาปานให้ครูเลือกได้...ปี พ.ศ.นั้นครูมีพระกว่า 60 องค์ แต่ทุกองค์แจกต่อให้คนอื่นไปหมด ที่เห็นเขียนในหนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่ม 2 พระนางพญานั้น...ครูบอก ซื้อหามาด้วยราคาแพงทั้งสิ้นประสบการณ์ตรงลึกขั้นนี้ ครูจึงรู้ดี ที่มาของการเรียกนางพญา องค์ที่เห็น “แร่ลอย” ว่า กรุน้ำท่วม...มาจากพระที่พบจากใต้ดินตอนแรก ผิวพระยังไม่แห้ง คนที่ได้ก็นำไปใช้เปลือกมะพร้าวขัดผิวหรือเปลือกนอกของพระจึงล่อนต่อมาเมื่อเรียนรู้กันว่า ต้องนำพระผึ่งแดดผึ่งลมให้แห้ง...แล้วค่อยๆล้างคราบดินออก จึงได้พระนางผิวเรียบร้อยไม่มีแร่ลอยให้เห็นอีกปูพื้นเรื่องนางกรุเหนือไว้แค่นี้ แล้วต่อด้วยผู้สันทัดกรณีคนที่สอง 13 ก.พ.2518 คุณเชียร ธีรศานต์ บากบั่นไปถึงกรุบ้านบางสะแก วันนั้นตาปานตายไปนานแล้ว เหลือแต่ลูกสาว ป้าทอง รอดบุญส่ง กับสามี ชื่อปานเหมือนกันป้าทองเล่าว่า หลังสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อเห็นว่าบ้านเมืองสงบดี จึงตรวจหาบริเวณที่จะสร้างบ้านหลังใหม่ เล็งที่ต้นมะม่วงใหญ่ใกล้ประตูบ้านหลังเก่า แล้วออกปากขอแรงเพื่อนบ้านมาช่วยกันโค่นขุดเพลินเจอดินกระเบื้องรูปสามเหลี่ยมเล็กๆเข้า พอรู้ว่าเป็นพระนางพญา งานสร้างบ้านก็ต้องเลิก เพราะทุกคนหันมาขุดหาพระ บริเวณที่ขุดกว้างขึ้นๆ ห่างจุดเดิมไปใกล้ดงกล้วยราว 20 เมตร ก็เจอเตาเผาพระนางพญา และหม้อดินที่เรียกหม้อนนท์หลายหม้อ ยังมีพระนางพญาให้เจออีกกว่าร้อยองค์การขุดพระนางพญาต่อเนื่องยาวนานถึง พ.ศ.2501 ช่วงเวลานี้พบนางพิมพ์ใหญ่เข่าโค้ง เนื้อเขียว ติดพิมพ์คมลึกองค์หนึ่ง พระมีที่มาชัด แต่เซียนที่ดูไม่แน่ใจ ผ่านพิษณุโลก ไม่เข้ากรุงฯเพราะกลัวเซียนไปสุรินทร์ย้อนมาอยู่กับเศรษฐีใหญ่เข้าประกวดที่สุพรรณบุรี กรรมการไม่ตัดสินแต่ล่าสุด พ.ศ.2519 ประกวดที่งานธนาคารศรีนคร ได้รางวัลที่ 1 นี่คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนความยากของการดูพระนางพญา ไม่ว่ากรุไหน ไม่เว้นกรุที่พบในกรุงเทพฯ เช่น วัดสังกัจจายย์ วัดเลียบ วังหน้า ช่วงหลังถึงตอนนี้ ก็ต้องเฉลย...เครื่องหมายคำถามปรัศนีย์...ผมแกล้งใส่ไว้ยั่วภูมิปัญญาคนรักพระ... สภาพพื้นดินไม่ว่ากรุเหนือหรือกรุใต้ไม่ต่างกัน วันเวลาผ่านมาถึงปานนี้ สภาพแวดล้อมใหม่แยกกันออก องค์ไหนกรุเหนือกรุใต้จบลงตรงที่ดูว่า พิมพ์ทรงถูกต้อง เนื้อหาและธรรมชาติ เก่าพออายุพระราว 400 ปีหรือไม่?องค์ในคอลัมน์ เป็นพิมพ์ใหญ่เข่าตรงพิมพ์ 1 เนื้อหาเข้าเกณฑ์ “ดินนุ่ม” คราบฝ้าราดินด้านหน้า สัญลักษณ์ริ้วลายมือ และจะงอยรอยมือจับ...ด้านหลัง...ก็คุ้นตา นับเป็นนางพญาที่งามง่าย เข้าข่ายองค์ครูได้อีกองค์.พลายชุมพลคลิกอ่านคอลัมน์ “ปาฏิหาริย์จากหิ้งพระ” เพิ่มเติม