กองทัพภาคที่ 2 แฉสารพัดเหลี่ยมกัมพูชาย่องตัดลวดหนาม-วางทุ่นระเบิด-ล่อทหารไทยเข้าซ่อมแล้วเหยียบ เป็นพฤติกรรมส่อเจตนามุ่งหมายเอาชีวิตทหารไทยอย่างไร้มนุษยธรรมผิดหลักสากลตามอนุสัญญาออตตาวา ด้านกองทัพเรือห่วงกังวล หลังพบทหารเขมรวางกำลังเพิ่มเติมบ้าน 3 หลังขุดคูเลต เผยเข้าพื้นที่ลำบาก เต็มไปด้วยทุ่นระเบิด ชุดสำรวจไทย-กัมพูชา เดินหน้าปฏิบัติการสำรวจพื้นที่อย่างต่อเนื่องช่วงหลักเขต 42-43 ใช้โดรน-GPS ทำแผนที่ความแม่นยำสูง ทหารกองกำลังบูรพาช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าวกัมพูชายังสร้างพฤติกรรมเป็นจอมเจ้าเล่ห์สารพัดเหลี่ยม วางแผนเล่นงานไทยทุกรูปแบบ ชนิดไม่สนใจข้อตกลงที่ได้มีการลงนามร่วมกัน 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ การถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน การเก็บกู้วัตถุระเบิด การร่วมมือกันปราบอาชญากรรมเทคโนโลยีและการบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อน โดยยังเดินหน้าลอบวางทุ่นระเบิดหมายสังหารทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนอยู่ตลอดเวลา เมื่อวันที่ 20 พ.ย. กองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ข้อมูลแก่กำลังพลและประชาชน เรื่องทุ่นระเบิด PMN-2 ถึงรูปแบบการวางทุ่นระเบิดแบบใหม่ ที่ตรวจพบในพื้นที่ชายแดนไทย จากหลักฐานที่รวบรวมมาจากที่เกิดเหตุ บางจุดเจ้าหน้าที่พบเป็นพัสดุที่ใส่ PMN-2 นำเข้ามาก่อนวาง ทำให้รู้ว่าทุกครั้งจะมีทุ่นระเบิดในจุดที่เกิดเหตุประมาณ 6 ทุ่น ส่วนใหญ่มักพบทุ่นระเบิดใหม่ การวางทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชาจะวางลักษณะเป็นกลุ่มจำนวน 3-6 ลูก วางในรูปแบบดักซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง แบบสลับฟันปลา ในเส้นทางที่คาดว่าฝ่ายไทยใช้ในการลาดตระเวนพื้นที่ หรือใช้การลวงให้เดินเข้าไปในเส้นทางพื้นที่สังหาร (Killing Zone) เช่น ตะโกนเรียกชวนให้เกิดการทะเลาะแล้วเดินเข้าไปเหยียบ ตัดลวดหีบเพลง เพื่อให้ทหารไทยเดินเข้าไปซ่อมแซมวางใหม่แล้วเหยียบ ใช้การวางก่อนถอนตัวในพื้นที่ที่ทางทหารไทยเข้ายึดครองได้ ใช้การลาดตระเวนเข้ามาในเขตไทย เมื่อถูกผลักดันให้ออกนอกพื้นที่ ก็จะแอบมาวางในเวลากลางคืน เพราะรู้ว่าทหารไทยต้องเข้ามาตรวจสอบพื้นที่ใหม่ในวันรุ่งขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นพฤติกรรมที่ล้วนแต่ส่อเจตนามุ่งหมายเอาชีวิตต่อทหารไทยอย่างไร้มนุษยธรรม และผิดหลักสากลตามอนุสัญญาออตตาวาวันเดียวกัน พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนด้านกัมพูชาว่า ตรวจพบการวางกำลังเพิ่มเติมเข้ามา มีการขุดคูเลตเพิ่ม พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สูง แต่ฝ่ายไทยอยู่ด้านล่างเข้าไปลำบาก กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ทำถนนเข้าไปประชิด เพื่อปฏิบัติการทางยุทธวิธีและจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน ส่วนการผลักดันฝ่ายตรงข้ามเรายังคงใช้การเจรจา แต่การเจรจาไม่ได้พูดคุยเพียงอย่างเดียวมีวิธีจากเบาไปหนัก เรายื่นข้อเสนอให้เขาไปหลายเรื่อง ถ้าเขาสะดวกจะย้ายออกเรายินดีให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ขยับออกไป ฝ่ายไทยไม่ ต้องการสร้างแรงกระเพื่อมในพื้นที่ให้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่บานปลายไปมากกว่านั้น เมื่อถามว่าฝ่ายไทยรื้อบ้าน 3 หลังไปแล้วและฝ่ายกัมพูชากลับเข้ามาใช่หรือไม่ โฆษก ทร.กล่าวว่า กลับเข้ามา เมื่อถามย้ำว่า 3 หลังที่เหลือเป็นเรือนบริวารใช่หรือไม่ พล.ร.ต.ปารัชกล่าวว่า ถ้าดูจากกูเกิลแม็ป เราจะเห็นว่าเป็นเพิง แต่บ้านหลังใหญ่ที่เป็นสิ่งปลูกสร้างอาคาร บ้านคอนกรีต 3 หลัง รื้อไปหมดแล้วผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ที่ฝ่ายไทยเข้าไปไม่ได้เกิดจากที่ฝ่ายกัมพูชาวางทุ่นระเบิดด้วยหรือไม่ โฆษกกองทัพเรือกล่าวว่า มาจาก 2 เหตุผล คือ พื้นที่เขาถึงลำบากก่อนที่จะมีการทำถนนเข้าไปในขณะนี้เป็นพื้นที่ป่าดิบ ถ้าดูจากแผนที่จะเห็นชัดว่าฝั่งกัมพูชาเป็นพื้นที่ราบสูง เขาถึงได้ง่าย แต่ฝั่งไทยเข้าไปจะเป็นป่าทึบทั้งแนว เราเจาะถนนเข้าไปแล้ว แต่สิ่งที่เราเจอในพื้นที่เต็มไปด้วยวัตถุระเบิดและทุ่นระเบิด เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ เรากังวลและไม่อยากให้มีรายถัดไป จะทำให้ความตึงเครียดในพื้นที่มากขึ้น หากเทียบกับภูมิประเทศจะคล้ายกองทัพภาคที่ 2 ในบางพื้นที่ที่เป็นเนิน ใครอยู่ได้สูงกว่าจะเห็นด้านล่าง ในพื้นที่ของกองทัพเรือเราอยู่ด้านล่าง ค่อนข้างเสียเปรียบและการเข้าถึงพื้นที่ ฝ่ายเขาเป็นที่ราบ การเพิ่มเติมกำลังจะค่อนข้างง่าย ฝ่ายเราจะยากกว่าโดยเฉพาะอาวุธหนักส่วนการเดินหน้าปักหมุดเขตแดนในวันที่ 20 พ.ย. ที่เป็นวันที่ 2 ชุดสำรวจปักหมุดชั่วคราวร่วมไทย-กัมพูชายังเดินหน้าปฏิบัติการสำรวจพื้นที่อย่างต่อเนื่อง บริเวณหลักเขตที่ 42-43 บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ที่เป็นพื้นที่ที่ทั้ง 2 ประเทศอ้างสิทธิร่วมกัน รวมระยะทางสำรวจประมาณ 7 กม. ทั้งนี้ ภารกิจหลักของการสำรวจพื้นที่ในวันที่ 20 พ.ย. ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเที่ยง คือการรังวัดพิกัดด้วยระบบ GPS เพื่อกำหนด “หมุดควบคุมภาพถ่ายทางอากาศ (GCP)” การบินโดรนร่วมกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศที่มีความละเอียดสูง ใช้ประกอบการกำหนดแนวเขตแดนชั่วคราว และปฏิบัติการสามารถรังวัด GPS หมุดควบคุม (GCP) : สำเร็จแล้ว 16 จุด บินโดรนถ่ายภาพ ครอบคลุมระยะทาง 1,600 เมตรทั้งนี้ การทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาแนวเขตแดนด้วยวิธีการทางเทคนิคที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ยึดตามความตกลงระหว่างประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียดและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดนทั้ง 2 ฝั่งขณะเดียวกัน กองทัพบก โดยกองกำลังบูรพา ระดมกำลังพลจากส่วนกลางและทหารในพื้นที่ลงพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำนวยความสะดวกเกษตรกร ที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าว พร้อมจัดกำลังรักษาความปลอดภัยเข้ม หลังเกิดเหตุทหารกัมพูชายิงใส่บังเกอร์ทหารไทยเมื่อไม่กี่วันก่อน ภารกิจวันนี้ครอบคลุมทั้งการจัดระเบียบเส้นทางเข้า-ออก การลำเลียงผลผลิต การควบคุมพื้นที่เสี่ยง การช่วยลงแขกเกี่ยวข้าวในแปลงที่ประชาชนร้องขอ โดยกองกำลังบูรพาเริ่มปฏิบัติภารกิจนี้ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา และยังเดินหน้าต่อเนื่องตามแผนถึงวันที่ 24 พ.ย.สำหรับพื้นที่ที่ทหารกองกำลังบูรพาเข้าไปช่วยเกี่ยวข้าว เป็นนาของนายสุริยา พันธุราช อายุ 67 ปี ชาวบ้านโคกสูง อยู่ระหว่างหลักเขต 42-43 จำนวน 10 ไร่ ส่วนแปลงข้างเคียง เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง จัดชุดดูแลความปลอดภัยให้รถเกี่ยวข้าว ลงปฏิบัติงานในนาของนางอรัญญา คำไสหลอด ชาวบ้านหนองหญ้าแก้ว พื้นที่กว่า 60 ไร่ ติดแนวหลักหมุดสำคัญเดียวกันนางอรัญญาเปิดใจกับทีมข่าวว่า ก่อนหน้านี้รู้สึกกังวลมาก ตั้งแต่เกิดเหตุทหารกัมพูชายิงเล็งเข้ามาฝั่งไทย เพราะทุ่งนาอยู่ชิดชายแดนจนไม่กล้าเข้าไปทำงาน แต่เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือและคุ้มกันก็รู้สึกอุ่นใจมาก ขอบคุณทหารที่ดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ด้าน พ.ท.นิติเทพ บารมี หัวหน้าฝ่ายกิจการ พลเรือน กองกำลังบูรพา ระบุว่า การช่วยเหลือเกษตรกรริมชายแดนเป็นภารกิจสำคัญของกองกำลังบูรพามาโดยตลอด โดยเฉพาะแปลงนาที่อยู่เลยถนนศรีเพ็ญออกไป ที่เป็นดินแดนของไทยชัดเจน แม้จะอยู่ใกล้ชายแดน ต้องสร้างความมั่นใจให้ชาวบ้านทั้งในด้านความปลอดภัยและการเก็บเกี่ยวผลผลิต ที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ช่วยเกษตรกรแล้ว 15 ราย ยังมีอีก 3-4 รายที่ติดต่อเข้ามารอคิว คาดว่าภารกิจเก็บเกี่ยวทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนนี้พ.ท.นิติเทพกล่าวยืนยันว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่พบการขัดขวางจากฝ่ายกัมพูชา อาจมีเพียงการสังเกตการณ์บางช่วงเท่านั้น หากมีการรุกล้ำหรือกดดันใดๆเกิดขึ้น จะดำเนินการประท้วงอย่างเป็นทางการทันที เพราะพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่เขตทับซ้อน แต่เป็นดินแดนไทยโดยสมบูรณ์ การที่ฝั่งกัมพูชากำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตของประชาชนตนเองเช่นกัน ถือว่าเป็นสิทธิ์ของเขา ตราบใดที่ไม่มีการล้ำแดนก็ไม่เป็นปัญหาใดๆ ความอุ่นใจของชาวบ้านคือหน้าที่ของทหารป้องกันชายแดน หากประชาชนรู้สึกปลอดภัยเราก็ภูมิใจ เพราะนั่นคือภารกิจหลักของเราอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่