กองทัพบกนำคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศลงพื้นที่ จ.สระแก้ว ติดตามสถานการณ์ ความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาและตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว พร้อมสำรวจสภาพความเสียหายจากการยิงยั่วยุของฝ่ายกัมพูชา ด้าน ผบ.ฉก.นย.ตราด ซัดกัมพูชาการละคร จัดฉากสร้างข่าวลือกระพือข่าวชั่ว นำคณะ AOT ปลอมลงพื้นที่ สร้างสถานการณ์จุดประทัดแล้วป้ายสีไทยว่าโยนระเบิดใส่ ส่วนชุดสำรวจร่วมไทย-กัมพูชา เริ่มปฏิบัติการสำรวจชายแดนตามแผนปักหมุดเขตแดนชั่วคราวแล้วไทยยังยืนหยัดสนับสนุนการสร้างสันติภาพตามกรอบข้อตกลงระหว่างประเทศและยังคงเดินหน้าเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่กัมพูชาประเทศแห่งความเจ้าเล่ห์ ลอบเข้ามาฝังไว้หลายจุดในเขตชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อความปลอดภัยของทหารที่เดินลาดตระเวนป้องกันรักษาพื้นที่ตามแนวชายแดนและประชาชนในพื้นที่ ขณะที่กัมพูชายังไม่เลิกการสร้างเรื่องเท็จใส่ร้ายป้ายสีไทยตลอดเวลาเมื่อวันที่ 19 พ.ย. กองทัพบกนำคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย 17 ประเทศ รวม 20 นาย เดินทางไปยังกองพันทหารราบที่ 12 กรมทหารราบที่ 3 รักษาพระองค์ ค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เยี่ยมชมการปฏิบัติงานด้านความมั่นคงสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้กิจกรรม Army Open House ของกรมข่าวทหารบก ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 มี พล.ท.ธีรนันท์ นันทขว้าง เจ้ากรมข่าวทหารบก เป็นหัวหน้าคณะการเดินทางลงพื้นที่ รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จาก พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผบ.กองกำลังบูรพา เพื่อรับทราบข้อมูลพื้นที่ปฏิบัติการและการดำเนินงานของกองกำลังบูรพา หลังรัฐบาลมีมติระงับข้อตกลงในปฏิญญาร่วมและทางการไทยยืนยันจะดำเนินการในส่วนของประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยให้ประชาชนภายหลังการบรรยายสรุป คณะเดินทางไปเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ณ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อยู่ตรงข้ามกับเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา บริเวณดังกล่าวสามารถสังเกตเห็นอาคารเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้อย่างชัดเจนและรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ของศูนย์หลอกลวงออนไลน์ในฝั่งปอยเปต และการปราบปรามขบวนการ เสร็จแล้วเดินทางไปยังพื้นที่บ้านหนองจาน ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่น ระเบิดสังหารบุคคลและบ้านหนองหญ้าแก้ว สำรวจสภาพความเสียหายจากการยิงยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาที่ผ่านมาสำหรับกิจกรรม Army Open House ครั้งนี้ ทำให้คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย ได้ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่และเข้าใจบริบทความซับซ้อนของปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งเห็นถึงความพยายามของฝ่ายไทย ในการแก้ไขปัญหาและสนับสนุนการสร้างสันติภาพตามกรอบข้อตกลงระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ข้อมูลสำคัญดังกล่าวจะทำให้คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศ สามารถสื่อสารขยายผลไปยังประเทศของตนได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์ก่อนหน้านั้นเวลา 09.00 น. ชุดสำรวจร่วมไทย-กัมพูชาเริ่มปฏิบัติการสำรวจชายแดนตามแผนปักหมุดเขตแดนชั่วคราว มีการนำโดรนบินเก็บภาพถ่ายทางอากาศ พร้อมกำหนดพิกัดแนวเขตแดนในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว-หนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ภารกิจครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามข้อตกลงระหว่างคณะทำงานสองประเทศ ว่าด้วยการปักหมุดชั่วคราวตามแนวอ้างสิทธิ (Territorial Integrity-TI) เพื่อให้เกิดภาพรวมที่ชัดเจนของพื้นที่พิพาทก่อนดำเนินการปักหลักเขตอย่างเป็นทางการในอนาคตทั้งนี้ การปฏิบัติงานถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลักของเส้นเขตแดน ได้แก่ ช่วงที่ 1: หลักเขต 42 ถึง 43 ช่วงที่ 2: หลักเขต 43 ถึง 46 ช่วงที่ 3: หลักเขต 46 ถึง 47 โดยในวันที่ 19 พ.ย. ชุดสำรวจได้เริ่มต้นจากหลักเขตที่ 42 มีการบินโดรนจัดทำภาพถ่ายทางอากาศกำหนดพิกัดและข้อมูลเชิงแผนที่ ก่อนนำไปใช้ประกอบการเดินสำรวจและปักหมุดเขตแดนชั่วคราวร่วมกันในลำดับถัดไป บรรยากาศการปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชายืนยันความพร้อมในการดำเนินงานตามแผนที่กำหนด หวังสร้างความชัดเจนด้านพรมแดน ลดปัญหาความคลาดเคลื่อนของพื้นที่และป้องกันข้อขัดแย้งระยะยาวระหว่างสองประเทศขณะที่ความเจ้าเล่ห์ตลบตะแลงชอบสร้างเรื่องเท็จของกัมพูชาเพื่อป้ายสีไทยยังปรากฏขึ้นเรื่อยๆ วันเดียวกันนี้สำนักข่าวเฟรชนิวส์ของกัมพูชา รายงานอ้างกระทรวงกลาโหมกัมพูชาที่เปิดเผยว่า คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ภายใต้การประสานงานของกัมพูชาไปตรวจเยี่ยมพื้นที่หยุดยิงบริเวณชุมชนธมอดา จ.โพธิสัตว์ เมื่อเวลา 11.08 น. วันที่ 19 พ.ย. ระหว่างการตรวจสอบพื้นที่ได้ยินเสียงอาวุธดังขึ้นมาจากฝั่งไทย ทำให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ตัดสินใจยุติการตรวจสอบพื้นที่และถอนกำลังกลับทันทีแต่กลอุบายชั่วร้ายของกัมพูชาไม่สามารถรอด พ้นสายตาของเจ้าหน้าที่ไทยได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ นาวาเอกธรรมนูญ วรรณนา ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ นาวิกโยธินตราด (ผบ.ฉก.นย.ตราด) ได้เปิดเผยตอบโต้เรื่องที่กัมพูชาอ้างนําคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT ลงพื้นที่ แต่ได้ยินเสียงระเบิดจากฝั่งไทยทำให้ต้องยกเลิกภารกิจ ว่าตนอยู่ในพื้นที่ตอนเกิตเหตุ เนื่องจากไปตรวจพื้นที่เพื่อคุ้มกันการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ที่บ้านชําราก อ.ชําราก จ.ตราด ระหว่างตรวจพื้นที่มีการรวมกลุ่มกันของคนกัมพูชาในพื้นที่เป็นฐานของเขา ประมาณ 30 นาย มีการใส่หมวกสีฟ้าจึงนำกล้องส่องทางไกลส่องดูพร้อมกับใช้โดรนบินเพื่อถ่ายภาพระยะไกลจากนั้นมีเสียงดังเกิดขึ้น“สรุปว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ นำคนมาใส่หมวกสีฟ้า มารวมตัวกันที่ฐานปฏิบัติการของเขาและจุดประทัดให้มีเสียงดัง แล้วไปให้ข่าวว่าทหารไทยโยนระเบิดใส่ หากเป็นคณะ AOT จริงเขาจะเดินมาหาที่แนวของไทย แต่วันนี้อยู่ห่างไกลประมาณ 200 เมตรเพื่อให้เห็นชัด มีการตัดภาพ นำภาพเก่าของคณะ AOT จริงลงพื้นที่มาประกอบ หากเป็นคณะ AOT จริง เขาจะเดินเข้ามาเพื่อประสานว่าจะมาขอดูพื้นที่ ครั้งก่อนที่มาเขาก็ทําแบบนี้ แต่ครั้งนี้ไม่เข้ามา เพราะกัมพูชามีการจัดฉากนําคนมาปลอมตัวเป็น AOT โยนประทัดใส่เพื่อให้มีเสียงดัง นี่คือยุทธวิธีที่ผู้ก่อการร้ายเขาใช้กัน สร้างข่าวลือกระพือข่าวชั่ว” นาวาเอกธรรมนูญกล่าวกับผู้สื่อข่าววันเดียวกัน นายสิตมน รัตนาวะดี ผู้ช่วยรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เข้าเยี่ยมให้กำลังใจและมอบเงินช่วยเหลือแก่ทหารที่บาดเจ็บ จากการเหยียบกับระเบิดขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จำนวน 4 ราย ที่ รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ได้แก่ จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ พลฯวชิระ พันธนา พลฯอภิรักษ์ ศรีชมไชย และพลฯอนุชา สุจารี ที่บาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1.3 ล้านบาท ที่เป็นเงินจากกองทุน 100 ล้านบาท ที่ GULF จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่