ขณะที่สถานการณ์ที่เมืองใหญ่หลายแห่งของสหรัฐฯ เช่น ชิคาโก ลอสแอนเจลิส และพอร์ตแลนด์ กำลังยุ่งเหยิงจากคำสั่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติเข้าไปกวาดล้างจับกุมผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย สร้างความไม่พอใจในกลุ่มเจ้าหน้าที่ทางการเมืองเหล่านี้และแสดงการต่อต้านคำสั่งของนายทรัมป์ ขณะที่ชาวเมืองก็ออกมาคัดค้านรุนแรงแต่ที่เมือง “เอล ปาโซ” รัฐเท็กซัสที่ติดกับพรมแดนประเทศเม็กซิโก สถานการณ์ตรงกันข้าม โดยสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษรายงานว่า บรรยากาศภายในเมือง “เอล ปาโซ” เป็นไปอย่างเงียบสงบ ต่างจากช่วงปลายปี 2565 ที่มีผู้อพยพผิดกฎหมายจากอเมริกากลางแห่ทะลักกันเข้ามาในเมือง “เอล ปาโซ” มากมายจนชาวเมืองรู้สึกไม่ปลอดภัย และนายกเทศมนตรีเมือง “เอล ปาโซ” ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อเข้าควบคุมสถานการณ์และสร้างที่พักอาศัยชั่วคราวให้ผู้ลักลอบเข้าเมืองเหล่านี้ไม่ให้ออกไปร่อนเร่ตามท้องถนนและอาจทำอันตรายต่อชาวเมืองชาวเมือง “เอล ปาโซ” ต่างบอกว่าช่วงที่ นายโจ ไบเดน ยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกๆวันพวกเขาเห็นผู้อพยพเข้าเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนั้นกังวลเรื่องความปลอดภัยมากทว่าหลังจากนายทรัมป์เข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา นายทรัมป์ดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาพรมแดนป้องกันผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างเฉียบขาด จนตอนนี้ตามแนวพรมแดนยาวเหยียด 3,145 กม. ตั้งแต่ชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนีย อริโซนา นิวเม็กซิโก ไปจนถึงชายฝั่งรัฐเท็กซัส จำนวนผู้ลักลอบเข้าสหรัฐฯ ตามแนวพรมแดนนี้ลดน้อยลงที่สุดในรอบ 50 ปีจากตัวเลขของทำเนียบขาวสหรัฐฯ พบว่า เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา จำนวนผู้ลักลอบเข้าสหรัฐฯ ตามแนวชายแดนติดกับเม็กซิโก มีเพียง 11,647 คน ขณะที่เดือน ก.ย.2566 ในสมัยของนายไบเดน ตัวเลขนี้พุ่งสูงถึง 269,700 คน ทำให้ทำเนียบขาวประกาศว่า นี่เป็นชัยชนะด้านนโยบายปราบปรามผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายของนายทรัมป์ขณะที่เมือง “อีเกิล พาส” และเมือง “เดล ริโอ” ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆอีก 2 แห่งในรัฐเท็กซัสติดกับพรมแดนเม็กซิโก ชาวเมืองทั้งสองบอกว่า รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเพราะผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายหายไปผิดหูผิดตานโยบายการปราบปรามผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียคือ ทำให้ขาดแคลนแรงงานในหลายภาคส่วนของสหรัฐฯ แต่ก็มีข้อดีในด้านความปลอดภัยมากขึ้นของชาวเมืองหลายแห่ง.ผู้เล็กน้อยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม