การที่ สหรัฐฯ จะใช้ ข้อตกลงทางการค้า มาบีบให้ไทยต้องยอมรับ ข้อตกลงสันติภาพไทยกับกัมพูชา หรือเอา ข้อตกลงทางการค้าภาษีศุลกากร มากดดันให้ไทยต้องยอมรับ ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ คงไม่ต้องอธิบายความอะไรให้เมื่อยตุ้มก็เมื่อสารตั้งต้น ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บอกแล้วว่า ถ้าไทยไม่ลงนามข้อตกลง สหรัฐฯก็ไม่ยอมเจรจาการค้าด้วย พอลงนามข้อตกลงหยุดยิงเสร็จ สหรัฐฯบอกว่าจะเก็บภาษีศุลกากรไทยเท่าเดิม 19% แต่ในรายละเอียดจะไปคุยกันอีกที ว่าจะพิจารณาภาษีในอัตราพิเศษให้กับเราสำหรับสินค้าประเภทไหนความจริงก็คือ ไทยถูกสหรัฐฯจัดเก็บอัตราภาษีตอบโต้ในอัตรา 19% สำหรับสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.2568 ในกรณีที่เป็นสินค้าสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า หรือ Transshipment อาจถูกเรียกเก็บอัตราภาษีสูงถึง 40% เพราะฉะนั้นในระหว่างนี้ไทยจะต้องส่งรายละเอียดสินค้านำเข้าประเภทต่างๆให้สหรัฐฯเพื่อกำหนดอัตราภาษีในแต่ละรายการเพื่อทำข้อตกลงทางการค้าต่อไปสหรัฐฯเป็นตลาดคู่ค้าที่สำคัญของไทย ในสัดส่วนร้อยละ 18 ของสินค้าที่ส่งออกทั้งหมด มีมูลค่าประมาณ 55,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี เพราะฉะนั้นไม่ว่าสหรัฐฯจะยื่นข้อเสนออย่างไร ไทยก็ยากที่ปฏิเสธ การจะให้ไปหาตลาดใหม่ พูดง่ายแต่ทำยาก นอกจากจะสร้างตลาดในประเทศให้แข็งแรง เพิ่มกำลังซื้อสินค้าในประเทศ ลดสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ก็พอที่จะทดแทนได้แต่รัฐบาลก็คงไม่กล้าพอที่จะเลือกแนวทางนี้กระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดแนวทางดำเนินการภายใต้โครงการ เพิ่ม Local Content สร้างโอกาสใหม่ในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผู้ประกอบการประมาณ 6,000 รายที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว ก็ยังหนีไม่พ้นตลาดสหรัฐฯอยู่ดี เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่า กฎเกณฑ์ การพิจารณาถิ่นกำเนิดสินค้า จากเดิมที่พิจารณาจากกระบวนการผลิต เป็นการพิจารณาจากสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ เพื่อเป็นการป้องกันสินค้าสวมสิทธิของสหรัฐฯ สุดท้ายแล้วก็ต้องมาดูที่ผู้ประกอบการ นายทุนอยู่ดี ว่าผลประโยชน์สุดท้ายแล้วเป็นของใครและประเด็นนี้ ไม่เกี่ยวกับการใช้ AI มาตรวจสอบถิ่นกำเนิดของสินค้าด้วยเพราะจุดประสงค์ใหญ่คือ สหรัฐฯไม่ต้องการซื้อสินค้าจากจีน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ด้วยการกำหนดอัตราภาษีสูงริบขนาดนั้นแต่ที่รัฐต้องเสียงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกปีละ 12.9 ล้านบาทในการตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิ ซึ่งอ้างว่าจะทำให้กระทบกับต้นทุนและรายจ่ายของผู้ประกอบการ ยังไม่รวมกับการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ โดยมาตรการป้องกันสินค้าลักลอบสวมสิทธิของภาครัฐคือการขอความร่วมมือและตรวจสอบทางการเงินของผู้ประกอบการแค่นั้นรมว.พาณิชย์ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ยืนยันว่าการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ แต่ก็ตระหนักถึงความสำคัญการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯอยู่ดี.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม