ประเทศไทยกำลังเป็นหมุดหมายใหม่ “คนจีนนิยมเข้ามาศึกษาในระดับอุดมศึกษา” ตามมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น ทำให้สถาบันการศึกษาหลายแห่งต้องร่วมมือกับเอเจนซีคนจีน และบางแห่งต้องปรับเน้นการรับนักศึกษาต่างชาติเป็นแหล่งรายได้หลักมากกว่าคุณภาพถ้าดูตามข้อมูล “หนังสือจีนเทาจีนใหม่ไทยแลนด์” ในปี 2020 นักศึกษาจีนมาเรียนระดับอุดมศึกษาในไทย 14,423 คน ส่วนใหญ่มาจากตอนใต้ เช่น มณฑลยูนนาน กว่างซี กวางตุ้ง ซึ่งมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ และสังคมกับไทยมายาวนาน เพราะระบบการศึกษาในจีนมีการแข่งขันสูง ทำให้นักศึกษามักแสวงหาทางเลือกใหม่เพื่อพัฒนาตนเอง และหาโอกาสชีวิตที่ดีกว่า “จนหลายคนเลือกมาศึกษาต่อในไทย” แล้วบางส่วนก็มักไม่กลับประเทศหลังเรียนจบ เพราะมีโอกาสในตลาดแรงงานไทยที่เปิดกว้างในสายอาชีพที่ตรงกับงานด้านการท่องเที่ยว สอนภาษาจีน หรือธุรกิจส่งออก ซึ่งต้องการแรงงานจีนที่เข้าใจภาษา และวัฒนธรรมไทยส่วนหนึ่งมาจาก “นโยบาย BRI ของจีน” ที่มีบทบาทสนับสนุนการลงทุนจากธุรกิจจีนในไทย ทำให้เกิดการจ้างงานในนิคมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BRI กลายเป็นโอกาสให้นักศึกษาจีนที่เรียนจบการศึกษาสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานไทยได้ง่ายกว่ากลับไปแข่งขันในตลาดแรงงานในจีนที่มีการแข่งขันสูงย้ำด้วยปัจจุบันจีนมีประชากร 1.4 พันล้านคน “แต่มีมหาวิทยาลัย 3,000 แห่ง” ทำให้เกิดการแย่งชิงที่เรียนเข้มข้น โดยเฉพาะในระบบการสอบที่เรียกว่า “เกาเข่า” ที่นักเรียนมัธยมปลายต้องเผชิญสอบปีละครั้ง ใช้เวลาถึง 9 ชม. ใน 2-3 วัน ในแต่ละปีมีคนเกือบ 3 ล้านคน “สอบไม่ผ่าน” ทำให้ชีวิตการเรียนเต็มไปด้วยความกดดันในการแข่งขันที่ตึงเครียดนี้ทำให้คนจีนเลือกมาเรียนในไทยมากขึ้น โดยปี 2022 มีนักศึกษาจีนในไทย 21,906 คน เพิ่มขึ้นกว่า 6-7 เท่าจากปี 2010 อีกทั้งค่าใช้จ่ายการศึกษาในไทยเฉลี่ยเพียง 70,000-100,000 บาทต่อปี ซึ่งถูกกว่าจีนที่มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 109,800-332,000 บาท และอาจสูงถึง 1,000,000 บาทในมหาวิทยาลัยเอกชน เหตุผลสำคัญที่ทำให้คนจีนเลือกเรียนในไทย ผศ.ดร.ชาดา เตรียมวิทยา อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ ภาษาจีนเพื่ออุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้เขียนหนังสือจีนเทาฯ มาบรรยายหัวข้อ China Standard 2035 ให้ผู้เข้าร่วมอบรมโครงการมองจีนยุคใหม่สิ่งที่สื่อไทยควรรู้ครั้งที่ 7 ฟังว่าตอนนี้นักศึกษาจีนมาเรียนในไทยเพิ่มมากขึ้นนั้น ล้วนผ่านบริษัทตัวแทนในการจัดหานักศึกษาให้กับมหาวิทยาลัยไทย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน และบางวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยภาครัฐ แล้วปัญหาที่มักเกิดคือ “บางกรณีเอเจนซีเรียกเก็บค่าเล่าเรียนจากนักศึกษาโดยตรง” แต่กลับไม่ได้นำส่งเงินให้กับมหาวิทยาลัยทำให้ข้อมูลการเงินของมหาวิทยาลัยระบุว่า “ยังไม่ได้รับเงิน” เนื่องจากไม่ผ่านการรับชำระจากกองคลัง ทำให้นักศึกษาจีนบางรายแม้จ่ายค่าเทอมครบแต่กลับไม่มีสิทธิ์สอบ เพราะไม่มีข้อมูลการชำระเงินในระบบ โดยกรณีนี้มักเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยรัฐโดยเฉพาะในกลุ่มของมหาวิทยาลัยราชภัฏด้วยตอนนี้ประเทศไทยเจอ “ปัญหาประชากรการเกิดน้อยลง” ส่งผลให้คนเรียนลดลงอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยก็ยังต้องรักษา KPI ในการรับนักศึกษาเข้ามาให้ได้ตามที่กำหนดและเลือกใช้วิธีรับนักศึกษาจีนเข้ามาเรียน แต่ด้วยภาระงานมากทั้งสอน ทำวิจัย และบริการวิชาการ ทำให้ต้องพึ่งพาเอเจนซีเป็นช่องทางรับสมัครแล้วถ้าได้เอเจนซีดีก็จะช่วยคัดกรองนักศึกษามีคุณภาพดูแลกระบวนการรับสมัครให้เป็นระบบ แต่หากเจอเอเจนซีไม่ดีมักสร้างปัญหาเรื่องคุณภาพนักศึกษา ความถูกต้องเอกสาร หรือการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนสิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ “นักศึกษาจีนหลายคนเรียนหลักสูตรไทย” โดยครูผู้สอนเป็นคนไทย และหลักสูตรการสอนก็ภาษาไทย “กลับพูดไทยไม่ได้ และภาษาอังกฤษก็อ่อนมาก” แต่สามารถเรียนจบรับปริญญาจากการจ้างเขียนวิทยานิพนธ์สะท้อนปัญหาความไม่เข้าใจในจริยธรรมทางวิชาการ และมาตรฐานคุณภาพของผู้เรียนปัญหาคือ “บทบาทเอเจนซี” บางกรณีเข้ามาทำทุกขั้นตอนแทนมหาวิทยาลัยทั้งแนะแนว รับสมัคร จัดการค่าใช้จ่าย ซึ่งบางครั้งเรียกเก็บค่าเทอมเกินกว่าที่กำหนด โดยมหาวิทยาลัยอาจไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้วส่วนใหญ่มักมาเรียน “อาร์ตดีไซน์ สาธารณสุข และกฎหมายไทย” ที่ตอนนี้ให้ความสนใจมาก เพราะเขาต้องการเข้าใจในระบบกฎหมายไทยอันลึกซึ้ง สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะทำธุรกิจหรือทำงานเชื่อมโยงกับไทยประเด็นคือ “ไทยเป็นที่ตั้งบริษัทจีนเข้ามาลงทุนจำนวนมาก” อันเป็นไปตามนโยบาย BRI ทำให้เกิดความต้องการแรงงานชาวจีนที่มีความเชี่ยวชาญในภาษา วัฒนธรรมจีน และอาชีพยอดนิยมสำหรับชาวจีนในไทย คือ ล่าม ผู้ช่วยธุรกิจ นักแปลภาษา ซึ่งให้ค่าตอบแทนดี และเพิ่มโอกาสในการขอใบอนุญาตทำงานได้ง่ายขึ้นเช่นนี้คนจีนจึงเลือกมาเรียนในไทย “มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ การค้า การท่องเที่ยวไทย–จีน” จนหลายครอบครัวสนับสนุนลูกหลานเรียนในไทย เพื่อสร้างความได้เปรียบในการทำงาน และประกอบธุรกิจในอนาคตดังนั้นการศึกษาต่อในไทยสำหรับนักศึกษาจีน “ไม่เพียงเติมเต็มการศึกษา” แต่ยังเปิดโอกาสทำงานและตั้งรกราก ผ่านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ทำให้ไทยเป็นจุดหมายสร้างอนาคตของพวกเขา ขณะเดียวกัน “นักศึกษาไทยก็มักไปเรียนในจีน” ส่วนใหญ่ก็พึ่งพาเอเจนซีจีนจัดการให้ทุกอย่างเช่นกัน และมีการโฆษณาทุนเรียนจีนเต็มไปหมดในเฟซบุ๊ก เรื่องนี้ต่างจากเมื่อก่อน การขอทุนไปเรียนในจีนมีแค่ไม่กี่ประเภท เช่น ทุนรัฐบาลจีน (CSC), ทุน AUN-ASEAN University Network, ทุน BRI ที่ให้เป็นก้อนบริหารจัดการเองนอกจากนี้ “ยังมีทุนรัฐบาลท้องถิ่น” ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ “ประเภท A” เทียบเท่าทุนรัฐบาลจีน ได้ครบทั้งค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก และค่าครองชีพ “ประเภท B” ให้เฉพาะค่าที่พักแต่ค่าครองชีพต้องออกเอง ทุนเหล่านี้เดิมต้องสอบแข่งขันและผ่านการคัดเลือกจริงๆ แต่เด็กไทยยุคนี้กลับมีบางส่วนที่เลือกทางลัดผ่านเอเจนซีดำเนินการบางรายถึงขั้น “ซื้อทุนให้ได้ไปเรียนในจีน” ล่าสุดมีข่าวดราม่าเกี่ยวกับการจ่ายเงินไปแล้วได้เรียนในมหาวิทยาลัยไม่ดี “ถือว่าโชคดีที่ยังมีมหาวิทยาลัยให้ไปเรียนมิเช่นนั้นอาจต้องสูญเงินเปล่า” สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นบ่อยในระบบการศึกษาแบบเทาๆ และไม่ได้เพิ่งเกิดในไทยเท่านั้นแต่ยังเกิดขึ้นที่ สปป.ลาวมานานกว่า 10 ปีแล้วสิ่งเหล่านี้คือ “จีนเทา” ที่แฝงหาผลประโยชน์ในระบบการศึกษาสะท้อนผ่านอิทธิพลของเอเจนซีจัดหานักศึกษาเข้ามาในไทย และกลายเป็นช่องว่างทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม