นับวันธุรกิจชาวจีนยุคใหม่ที่เข้ามา “ลงทุนไทย” จะมีความหลากหลายเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นภาคอสังหา ริมทรัพย์ โรงงานการผลิต การค้าปลีกขนาดเล็ก–กลางไปถึงกิจการบริการท่องเที่ยวการขยายตัวนี้สะท้อนถึง “บทบาททางเศรษฐกิจของจีน” เริ่มแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างเศรษฐกิจไทย ในด้านหนึ่งถือเป็นโอกาสเงินทุน และเทคโนโลยีจากต่างประเทศสามารถมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวได้ทว่าเบื้องหลังการขยายตัวไม่ได้มีแค่ “นักลงทุนโปร่งใส” กลับมีทุนสีเทาปะปนมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงินผ่านธุรกิจการค้าขายการนำเข้าสินค้า และการใช้คนไทยเป็นนอมินีถือหุ้นเพื่อหลบเลี่ยงกฎหมาย “ทุนนี้ไม่เพียงบิดเบือนกลไกตลาด” แต่ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจถูกใช้เป็นสนามเคลื่อนไหวแบ่งผลประโยชน์อย่างเงียบๆกลไกของขบวนการมิจฉาชีพทุนจีนสีเทานี้ถูกสะท้อนผ่าน ผศ.ดร.ชาดา เตรียมวิทยา อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ ภาษาจีนเพื่ออุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่มาบรรยายในหัวข้อ China Standard 2035 ให้ผู้เข้าร่วมอบรมโครงการมองจีนยุคใหม่สิ่งที่สื่อไทยควรรู้ครั้งที่ 7 ฟังว่า เท่าที่ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับจีนเทามาตั้งแต่ปี 2558 สมัยก่อนรัฐไทยมีชุมชนชาวจีนอยู่ 5 กลุ่ม คือ จีนแต้จิ๋ว, จีนฮกเกี้ยน, จีนฮักกา, จีนไหหลำ และจีนกวางตุ้ง แต่จีนแต้จิ๋วจะเป็นกลุ่มมีบทบาทถูกกล่าวถึงมากที่สุด “ด้านเศรษฐกิจไทย” มักเป็นผู้ดำเนินกิจการค้าขายขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเขตเมือง และก่อตั้งชุมชนสำเพ็งในเวลาต่อมาหากมองในมุม “จีนเทา” จะเห็นความเชื่อมโยงบางประการจากอดีตที่ไทยเคยเปิดรับคนจีนอพยพมาลงทุนจนสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเป็นฐานทุนจีนยุคใหม่ แต่ประเด็นนี้กลับถูกพูดถึงมาก “นับแต่กรณีนักแสดงซิงซิงหายตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเครือข่ายจีนเทาที่ข้ามพรมแดนเข้ามาในไทยอันที่จริงแล้วสำหรับ “จีนเทา” ถ้าใครเคยไปศึกษาในประเทศจีนจะเป็นเรื่องที่คุ้นชินกัน เพราะในจีนมักเกิดการหลอกลวงทางโทรศัพท์อยู่บ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ “คนจีนจะไม่ค่อยตกเป็นเหยื่อ” แตกต่างจากไทยที่มีประชาชนถูกหลอกมากที่สุดในภูมิภาคแห่งนี้ ทำให้เครือข่ายจีนเทาเข้ามาขยายฐานดำเนินกิจกรรมในไทยมากขึ้นตั้งแต่ “สี จิ้นผิง” ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีของจีนสิ่งแรกที่ดำเนินการคือ “ปราบปรามคอร์รัปชัน” เพื่อมุ่งลดการทุจริต และปราบปรามคอลเซ็นเตอร์เข้มงวด “กลุ่มพวกนี้จึงไม่อาจอยู่รอดในจีน” ก็เคลื่อนย้ายขยายเครือข่ายไปเกาหลีใต้พร้อมกับใช้เทคนิคเดิมๆแต่เกาหลีไม่นิ่งเฉยพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเบอร์ปลอมดำเนินคดีจริงจังกลุ่มแก๊งเหล่านี้ก็ต้องหนีตายย้ายฐานไปยังประเทศที่ “ภาครัฐดูจะอ่อนแอในการจัดการกับอาชญากรรมข้ามชาติ หรือการบังคับใช้กฎหมายล่าช้า” โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา และเขตเศรษฐกิจพิเศษของกัมพูชา เช่น ปอยเปต สีหนุวิลล์ ทำให้เห็นชัดว่ากลุ่มจีนสีเทาเข้ามาในไทยด้วยวีซ่าท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากเมื่อวีซ่าหมดอายุกลับไม่ได้บินกลับ “ประเทศจีน” แต่ข้ามไปประเทศกัมพูชาเพื่อทำกิจกรรมคอลเซ็นเตอร์ด้วยการประกาศรับสมัครงานผ่านโซเชียลมีเดีย อ้างว่า “เป็นงานแอดมินบริษัทพนันออนไลน์” ถ้าหากมีคนหลงเชื่อก็จะถูกพาข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ เช่น ในพื้นที่ จ.สระแก้ว หรือเมืองเมียวดี ติดกับ อ.แม่สอด จ.ตากก่อนจะถูกบังคับให้หลอกเหยื่อรายอื่นๆ “หากใครไม่ทำตามก็ถูกทำร้าย” ถูกขายต่อไปเป็นแรงงานผิดกฎหมาย แม้มีข่าวการจับกุมประปรายแต่ก็ยังมีคนไทยถูกหลอกอยู่เรื่อยๆ เพราะรัฐไทยไม่อาจกำจัดเครือข่ายนี้ได้ ถัดมาคือ “อุ้มบุญในไทย” ที่ชาวต่างชาติอย่างจีนเทาเข้ามาเกี่ยวข้องก็สร้างข้อสงสัยเชื่อมโยงการค้ามนุษย์หรือขายอวัยวะทารก “เรื่องนี้ไม่จริง” เพราะการอุ้มบุญมีต้นทุนทางการแพทย์ค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะลงทุนกระบวนการอุ้มบุญ “เพื่อจุดประสงค์การขายอวัยวะเด็ก” เพราะไม่คุ้มค่าผิดหลักตรรกะโดยสิ้นเชิงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ “การสวมสัญชาติ” อันเป็นช่องทางให้บางกลุ่มใช้ในการแสวงหาประโยชน์ทางกฎหมาย หรือเพื่อให้เด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญได้รับสิทธิ์ในประเทศใดประเทศหนึ่งโดยมิชอบ ทั้งยังมีปรากฏการณ์ขบวนการอุ้มบุญทุนจีนในกลุ่มจีนเทาที่จัดหาไข่จากหญิงสาวหน้าตาดี หรือพริตตี้ เพื่อผสมกับสเปิร์มของผู้ว่าจ้างซึ่งผ่านเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ “ก่อนฝังตัวอ่อนในภรรยาให้กำเนิดบุตรตามความต้องการ” แต่เรื่องนี้จะไม่ขอลงรายละเอียดมากก็ถือเป็นอีกมิติของปัญหาที่เกี่ยวกับจีนเทาซึ่งเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนอย่างซับซ้อนมากขึ้น ทำให้คนตั้งคำถามว่าเหตุใดจีนเทาจึงเข้ามาในไทยแทนที่จะทำในประเทศตนเอง...?ถ้าลองมองมุมกลับ “ประเทศจีน” ก็มีอาชญากรรม และกิจกรรมผิดกฎหมายเกิดขึ้นมากเหมือนกัน เพียงแต่บางรูปแบบไม่ได้รับความสนใจ หรืออาจถูกจัดการภายในอย่างเข้มงวด ทำให้ปรากฏโดดเด่นในประเทศอื่น เช่น ไทย ที่มีช่องว่างทางสังคม เทคโนโลยี และกฎหมาย กลายเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมของจีนเหล่านี้เกิดขึ้นได้ง่ายโดยเฉพาะในพื้นที่ย่านห้วยขวาง “หลายคนคิดว่าคนจีนชอบไปเดิน” แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น คนจีนดีๆมักเลี่ยงจากความระแวงรู้กันว่า “มีบางอย่างเกี่ยวเนื่องกับสีเทา” สังเกตจากบริเวณโดยรอบเหมือนย้อนเวลากลับไปอยู่ในจีนยุคปี 2000 “ร้านค้าต่างเต็มไปด้วยการแขวนโคมแดง” บรรยากาศกลิ่นอายแบบจีนแท้ๆแล้วการขยายตัวของทุนจีนในธุรกิจมินิมาร์ท ร้านค้าปลีก และธุรกิจบริการที่ใช้กลยุทธ์เงินลงทุนต่ำ “มุ่งเป้าลูกค้าระดับล่าง” ก็กระทบตลาดผู้ประกอบการไทยถูกแย่งส่วนแบ่งจนธุรกิจบางส่วนไม่สามารถอยู่รอดได้สิ่งที่เกิดขึ้นในไทยนั้น “ประเทศในอาเซียน” ก็เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันอย่างเมียนมาในยุครัฐบาลอองซาน ซูจีก็เคยสั่งให้เก็บป้ายภาษาจีนเพื่อยืนยันว่าการทำธุรกิจในเมียนมาต้องใช้ภาษาเมียนมาเป็นหลัก ไม่เท่านั้นปัญหาจีนเทา “ไทยยังเผชิญทัวร์อั้งยี่” นับตั้งแต่มีนโยบายฟรีวีซ่า และการเข้ามาของโครงการใหญ่ BRI โดยกลุ่มทุนจีนเข้ามาควบคุมธุรกิจเองตั้งแต่จัดทริป ดูแลนักท่องเที่ยวจนถึงใช้มัคคุเทศก์เถื่อนที่เป็นชาวจีนทั้งยังมีธุรกิจแฝงการลงทุนใน EEC ซึ่งมีโรงงานจีนเกิดขึ้นมากมายจนถูกเรียกว่า “นิคมศูนย์เหรียญ” เพราะคนจีนทำงานทุกส่วนตั้งแต่พนักงานขาย ล่าม แม่บ้าน รปภ. แม้สินค้าผลิตในไทยก็ถูกตีตรา Made in Thailand เพื่อลดหย่อนภาษีแล้วเงินก็ถูกกว้านซื้อที่ดิน “ฟอกเงินผ่านการลงทุน” ทำให้บริษัทและนิคมเคลื่อนไหวเป็นที่น่าสนใจฉะนั้นวันนี้ประเทศไทยไม่ต่างจาก “สนามที่มิจฉาชีพใช้เคลื่อนไหวแบ่งผลประโยชน์กันอย่างเงียบๆ” เช่นนี้รัฐบาลจึงต้องเลิกยอมเป็นผู้ตามในเกมของทุนสีเทา และลุกขึ้นมาเป็นผู้กำหนดกติกาใหม่ เพื่อปกป้องประเทศจากการถูกใช้เป็นเครื่องมือของอาชญากรข้ามชาติที่แฝงตัวอยู่ในระบบ...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม