ทุนจีนสีเทาเข้ามาสร้างอาชญากรรม “ทำธุรกิจผิดกฎหมายในไทย” กลายเป็นปัญหากระทบต่อภาพลักษณ์เชิงลบให้คนจีน “บางส่วนรู้สึกไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัย” จนลังเลที่จะเดินทางมาท่องเที่ยว สังเกตจากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างรวดเร็ว “หลังกลุ่มหลอกลวงออนไลน์ลักพาตัวนักแสดงชาวจีนในเดือน ม.ค.2568 พาตัวข้ามชายแดนไปยังเมียนมา” แม้จะได้รับการช่วยเหลือ และส่งกลับบ้านแล้วตั้งแต่เดือน ก.พ. “แต่นักท่องเที่ยวจีนยังลดลง 40%” เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าจนถึงวันนี้ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวปัจจัยนี้ “สถานเอกอัครราชทูตจีน” ได้เปิดบ้านจัดงานเอกอัครราชทูตพบปะพูดคุยกับสื่อมวลชนไทยเกี่ยวกับอนาคตใหม่ของความร่วมมือไทย-จีน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสื่อสำนักต่างๆ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ส่งเสริมความร่วมมือ 2 ประเทศ จาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย บอกว่าสำหรับจีนและไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นต่อกัน “ยึดมั่นหลักการเคารพซึ่งกันและกัน” ดำเนินความร่วมมืออย่างมิตรให้ความช่วยเหลือต่อกันมาตลอด ด้วยผู้นำ 2 ประเทศมีบทบาทในการกำหนดยุทธศาสตร์ และทิศทางความร่วมมือ เพื่อพัฒนาประเทศของตนเสริมสร้างความมั่นคงร่วมกันด้วยปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนแปลง “ภูมิภาคต่างๆเผชิญความปั่นป่วนและไม่แน่นอน” ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจก็ประสบภาวะชะลอตัว การก่อเกิดกระแสโลกาภิวัตน์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ระบบระเบียบโลกเผชิญกับความท้าทายในการบังคับใช้ และกระบวนการในระบอบประชาธิปไตยก็มีปัญหาไร้เสถียรภาพในหลายด้านแม้แต่องค์การสหประชาชาติ “อันมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก” ก็มีข้อจำกัดความสามารถในการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งบางประเทศที่ควรมีบทบาทในการส่งเสริมธำรงไว้ซึ่งระเบียบโลกกลับไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่นั้นได้ และบางประเทศพยายามรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนเองขัดขวางกระบวนการปฏิรูปองค์การสหประชาชาติ ในโลกที่ไม่แน่นอนนี้ “ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง” ขาดโอกาสในการมีเสียงและสิทธิอย่างเท่าเทียมในเวทีโลกเช่นนี้เพื่อรับมือความท้าทาย “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ก็ได้เสนอข้อริเริ่มด้านการบริหารจัดการโลกในการประชุมองค์การความร่วมมือในเซี่ยงไฮ้เน้นความเท่าเทียม มีประสิทธิภาพสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยประการแรกคือ “ประชาธิปไตยระหว่างประเทศที่เท่าเทียมกัน” ไม่ว่าเป็นประเทศใหญ่-เล็ก ประเทศพัฒนา หรือกำลังพัฒนาล้วนมีสิทธิมีส่วนร่วมในกิจกรรมของประชาคมโลก “2.เคารพปฏิบัติตามกฎระเบียบระหว่างประเทศ” ไม่ใช้มาตรฐานสองระบบ หรือการตีความกฎหมายตามอำเภอใจ เพื่อผลประโยชน์ตนเองถัดมาคือ “3.ดำเนินการบนพหุภาคี” ยึดหลักหารือสร้างสรรค์แบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน “4.ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ตอบสนองความมั่นคง กินดีอยู่ดี และรู้สึกโลกปลอดภัย “5.ดำเนินการเป็นรูปธรรม” ประเทศพัฒนาควรปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนไม่เพียงแง่นโยบายแต่ต้องแบ่งปันทรัพยากรและสินค้าสาธารณะด้วยตอกย้ำท่ามกลางโลกผันผวนนี้ “ความสัมพันธ์จีน–ไทยยังแน่นแฟ้น” เพราะจีนยกให้ไทยเป็นเพื่อนบ้านสำคัญทางการทูต และเป็นหุ้นส่วนภายใต้หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางทั้งการพัฒนา ความมั่นคง อารยธรรม ธรรมาภิบาล “พร้อมยืนข้างไทยทุกมิติ” ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการศึกษา มุ่งมั่นกระชับความร่วมมือโดยเฉพาะกรณีข่าวเกี่ยวข้องกับ “กลุ่มจีนเทา” จนทำให้คนจีนบางส่วนรู้สึกมาท่องเที่ยวในไทยแล้วไม่ปลอดภัยจากกรณีดาราหนุ่มถูกลักพาตัว ทั้งที่จริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับไทยเลย แต่ด้วยสื่อมีรายงานข่าวเกินจริงจนคนจีนเข้าใจผิด “รัฐบาลไทย” ก็พยายามสร้างความมั่นใจทั้งด้านความปลอดภัยและสะดวกสบายในการใช้ชีวิตตลอด สำหรับประเด็น “ทุนจีนสีเทา” ก็ต้องยอมรับว่ามีคนจีนบางกลุ่มเข้ามาทำงานในไทยที่ไม่ถูกต้องจริงๆ “แต่ก็เป็นกลุ่มจำนวนน้อย” ในทางตรงกันข้ามกลับมีบริษัทและนักลงทุนจีนหลายคนสนใจเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในไทย เพราะเห็นถึงสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เอื้ออำนวย และความสัมพันธ์อันเป็นมิตรระหว่าง 2 ประเทศแล้วบริษัทที่เข้ามาลงทุนในไทยก็ยึดแนวคิด “อยู่ไทยเพื่อไทย” ขณะที่รัฐบาลจีนก็กำชับให้ทุกบริษัทปฏิบัติตามกฎหมายไทยเคร่งครัด ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง รับผิดชอบต่อสังคม และสร้างประโยชน์ให้ชุมชน ทำให้การลงทุนไม่เพียงสร้างงานยังช่วยยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจไทย ส่งผลต่อการเติบโตในระยะยาว“ไม่ควรนำเคสเล็กๆมาขยายเป็นภาพรวมจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัท และนักลงทุนจีนที่มีต่อไทย อันจะสร้างปัจจัยลบต่อความสัมพันธ์จีน-ไทย ด้วยปัจจุบันมีบริษัทจีนสนใจมาลงทุนขยายธุรกิจในไทยเยอะมาก และหวังว่ารัฐบาลไทยจะสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เป็นมิตร เสมอภาค ยุติธรรม” จาง เจี้ยนเว่ย ว่าประการถัดมา “ข้อกังวลไทยจะถูกจีนยึดครองเป็นมณฑล” เรื่องนี้ต้องมองอย่างรอบคอบบนพื้นฐานข้อเท็จจริง หากมองย้อนดูประวัติศาสตร์ไทยและจีนมีความสัมพันธ์มานับพันปี หลังสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตมา 50 ปีความสัมพันธ์นี้ยังตั้งบนพื้นฐานความเคารพซึ่งกันและกัน เสมอภาค และมีผลประโยชน์ร่วมกันโดยยึดหลักการขับเคลื่อนความร่วมมือในอนาคต “นโยบายต่างประเทศของจีนยึดหลักการพัฒนาอย่างสันติ” ส่งเสริมความร่วมมือแบบ win-win บนพื้นฐานของความเสมอภาคแบ่งผลประโยชน์ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่หรือเล็ก ร่ำรวยหรือกำลังพัฒนา “ถือเป็นมิตรเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน” จีนไม่เคยมีเป้าหมายในการแสวงหาอิทธิพล หรือยึดครองพื้นที่ใด “เราจะสร้างพื้นที่ที่อยู่ในอาณาเขตของตนเอง” ส่วนประเทศในอาเซียน รวมถึงไทยล้วนเป็นเพื่อนที่สำคัญตลอด 76 ปีนับแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนสิ่งสำคัญ “จีนไม่เคยทำสงครามหรือรุกรานประเทศอื่น” แถมยืนหยัดคัดค้านการใช้ความรุนแรง ปัจจุบันมุ่งเน้นพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่ง สร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงทั้งภายในประเทศและเวทีโลก เพราะการเติบโตของจีนจะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆให้กับนานาประเทศ และก็พร้อมแบ่งปันโอกาสนี้กับทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วยเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นนั้นมีเจตนาให้เกิดความเข้าใจผิด “ระหว่างประชาชนสองประเทศ” ซึ่งอาจมาจากกลุ่ม หรืออิทธิพลบางฝ่ายที่ไม่ต้องการเห็นความสัมพันธ์จีน-ไทยพัฒนาอย่างราบรื่น จึงขอฝากถึงสื่อมวลชนให้ช่วยนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์ ถ่ายทอดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และสะท้อนถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศนี่เป็นการย้ำความสัมพันธ์ทางการทูตมาตลอด 50 ปี และความสัมพันธ์นี้ยังคงเดินหน้าอยู่บนพื้นฐานของความเคารพ เสมอภาค และแบ่งผลประโยชน์ร่วมกันในการขับเคลื่อนความร่วมมือสู่อนาคต.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม