ผมตั้งใจว่าจะเขียนถึง “ควันหลง” ของการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกครั้งที่ 32 ที่เมืองคยองจู เกาหลีใต้ ในประเด็นที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้เจาะจงให้เกียรติแก่นายกรัฐมนตรีไทยอย่างออกหน้าออกตามาหลายวันแล้วครับเป็นข้อสังเกตส่วนตัวที่อยู่ในใจผมมาตั้งแต่วันแรกๆที่การประชุมเริ่มขึ้นว่างั้นเถอะเริ่มจากงานเลี้ยงดินเนอร์พิเศษก่อนเริ่มงาน ซึ่งมีแขกเพียงแค่ 8 คน รวมทั้งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยนั้น ปรากฏว่านายกรัฐมนตรีของไทยเรา อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ได้รับเชิญเช่นกันเป็นโอกาสให้นายกฯ “หนู” ได้เข้าไปยืนล้วงกระเป๋าคุยกับ “ราชสีห์” ทรัมป์อย่างสง่าผ่าเผยอย่างที่เป็นข่าวต่อมาก็ยังจัดประชุม “ทวิภาคี” ไทย-เกาหลี โดยเฉพาะได้ข้อตกลงที่จะเป็นประโยชน์แก่ทั้ง 2 ฝ่าย ติดมือกลับมาหลายเรื่อง เช่น การตั้งเป้าหมายการค้าให้ถึง 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ฯลฯ เป็นต้นผมก็เดาว่าเหตุที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ อีแชมย็อง ให้ความใกล้ชิดสนิทสนมและให้เกียรติ นายกฯอนุทิน มากพอสมควรเช่นนี้ คงจะสืบเนื่องมาจากการคุยทางโทรศัพท์เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งตอนหนึ่งได้กล่าวกับนายกฯของเราว่า“ไทยเป็นมิตรที่ดีของเกาหลีใต้มายาวนาน เคยส่งทหารไปช่วยเกาหลีใต้รบในสงครามเกาหลีเมื่อ 75 ปีก่อน คนเกาหลียังจดจำได้จนถึงทุกวันนี้”ประโยคนี้แหละครับที่ผมปักใจว่าท่านประธานาธิบดีโสมขาวท่านเทใจมาให้ประเทศไทยและนายกฯอนุทินของเรา75 ปีก่อน...ก็คือ พ.ศ.2493 เกิด “สงครามเกาหลี” ขึ้น ระหว่าง เกาหลีเหนือ กับ เกาหลีใต้ โดย เกาหลีเหนือ มีกองทัพอาสาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นฝ่ายสนับสนุนและส่งกำลังพลไปช่วยรบ...ในขณะที่ เกาหลีใต้ ได้ สหรัฐอเมริกา และประเทศอาสาสมัครจาก องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ไปช่วยรบไทยเราโดยนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ตัดสินใจส่ง ทหารไทย ที่เรียกว่า กองพันกรมผสมที่ 21 (มีทั้งทหารบก เรือ อากาศ ครบ 3 เหล่า) ไปช่วยเกาหลีใต้รบเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2493เป็น 1 ใน 21 ประเทศที่ไปช่วยเกาหลีใต้รบ และว่ากันว่าแสดงความจำนงเป็นประเทศแรกๆของผู้ไปช่วยรบทั้งหมดในครั้งนั้นช่วงนั้นผมอายุ 9 ขวบ เรียนอยู่ ป.2 ที่โรงเรียน วัดส้มเสี้ยว อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ไปรับรู้เรื่องราวในร้านกาแฟที่ท่าน้ำหน้าบ้านจากการพูดคุยกันของผู้ใหญ่ที่ไปนั่งกินกาแฟตอนเช้า พร้อมกับถกถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้จากข่าว หนังสือพิมพ์ทหารไทยของเรามาโด่งดังมากที่สุดในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ปี 2495 หรืออีก 2 ปีให้หลัง ซึ่งผมอายุ 11 ขวบเต็มใกล้จบประถม 4 และเตรียมตัวจะไปเรียนต่อมัธยมปีที่ 1 ที่ปากน้ำโพช่วงนี้ผมอ่านหนังสือพิมพ์ได้แล้วอย่างคล่องแคล่ว (รวมทั้งอ่านหนังสือ พล นิกร กิม หงวน ของ ป.อินทรปาลิต ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นกัน) สามารถติดตามข่าว “สงครามเกาหลี” ได้ด้วยตนเองรวมทั้งข่าวพาดหัวยักษ์ กรมผสมที่ 21 จากประเทศไทยสามารถยิงโต้ป้องกันเนิน “พอร์กช็อป” เอาไว้ได้ โดยผลักดันกองกำลังอาสาสมัครประชาชนจีนจนแตกพ่ายหลังจากบุกเข้าโจมตีถึง 5 ครั้งเมื่อการยุทธจบมีการนับศพทหาร...ปรากฏว่าทหารไทยเสียชีวิต 25 ราย บาดเจ็บ 76 ราย ทหารจีนเสียชีวิตระหว่าง 322-1,000 ราย และบาดเจ็บไม่ทราบจำนวนผลจากชัยชนะครั้งนั้นทำให้ทหารไทยได้รับเหรียญกล้าหาญจากกองทัพสหรัฐฯรวม 39 นาย รวมทั้งเหรียญชั้นสูง “ลีเจียนออฟเมอริต” ที่มอบให้แก่ท่าน ผบ.กรมผสม 21 พ.ต.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พร้อมกับให้ฉายาแก่กรมผสม 21 จากไทยแลนด์ว่า กองพัน “พยัคฆ์น้อย” นับแต่บัดนั้นทำให้ผมรู้จักและจำชื่อ พ.ต.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (ต่อมาคือ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และนายกรัฐมนตรีคนที่ 15 ของประเทศไทย) ได้ตั้งแต่ผมอายุ 11 ขวบมาจนถึงบัดนี้ (อ่านต่อพรุ่งนี้)"ซูม"คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม