“การเอาคืน” คือ “การตกหลุมพราง!” …เมื่อคิดว่าใครสักคนไม่ควรอยู่ในชีวิตคุณก็จะจุดชนวนให้คิดต่อว่าน่าจะกำจัดคนคนนั้นทิ้งเสีย แต่แม้อยากกำจัดใครเพียงใดใจก็รู้ว่าถ้าใช้วิธีไม่ถูกต้องเช่น ทำให้คนคนนั้นหายไปจากโลกก็เสี่ยงกับผลลัพธ์ที่ตามมาถ้าโดนตำรวจจับได้ก็ติดคุก...ถ้าโดนญาติเขาแก้แค้นก็ตายตาม...ถ้าโดนกรรมเล่นงานก็ลงนรกว่ากันเรื่องกรรมตั้งแต่เกิดมโนกรรมในการอยากแช่งใครให้ตายๆไปเสีย แค่นั้นก็เท่ากับล่ามโซ่ร้อนๆหนาๆผูกคุณไว้กับเขาแล้ว จะท่องเที่ยวให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว จะนอนเตียงหรูราคาแพงเพียงใดหรือ...อยู่กับใครที่คุณแสนรักแสนพิศวาสก็เหมือนใครคนนั้นตามติดไปเล่นงานคุณ ให้คุณคิดไม่ดีหมดความสุขไปทุกขณะจิต ไม่อาจคิดถึงสิ่งดีๆ คนดีๆตรงหน้าได้ถนัด และเมื่อว่ากันเรื่องภพภูมิ ชาตินี้ชาติหน้า ถ้าใจในชาตินี้เป็นอย่างไรไปเจอกันอีกทีก็อย่างนั้นถ้าไม่ถูกชะตากัน ตอนนี้เจอตอนหน้าก็ไม่ถูกชะตากันอีก ถ้าร้อนรุ่ม คุมแค้น อยากกำจัดทิ้ง ก็ต้องบันดาลเหตุใหม่ขึ้นมาให้ร้อนรุ่ม คุมแค้นอยากกำจัดทิ้งอีก และถ้ากำจัดทิ้งได้สำเร็จ พอเจอใหม่ ในจังหวะที่บาปเผล็ดผลคุณก็ต้องเป็นเบี้ยล่างทางอำนาจกรรมกล่าวคือ กรรมให้อำนาจเขามีสิทธิ์ฆ่าคุณคืนบ้าง วนไปเวียนมา น่าเบื่อหน่าย ถ้าอ่านออกบอกถูกแบบคนมีตาทิพย์ ตัวเขาหายไปแต่ใจคุณยังมีเขา...นั่นแหละ! หลักฐานการเขี่ยเขาไม่พ้นชีวิต!อย่าคิดแบบคนธรรมดา...ให้คิดแบบพุทธ คิดว่ามีคนบางคนไม่ควรอยู่ในชีวิตเราจริงๆแต่วิธีที่จะไม่ให้อยู่ในชีวิตเราจริงๆ หาใช่การเข่นฆ่า หาใช่วิธีใช้อาวุธ คำสาป หรือคุณไสย เพราะเหล่านั้นคือโซ่ร้อยรัดให้แน่นเหนียวขึ้นโดยไม่รู้ตัว ท่านให้วิธีสละเขาออกจากใจ... นับเริ่มจากเมื่อคิดอยากแช่งให้เปลี่ยนใจสละทิ้งความอยากแช่งนั้น เมื่อคิดอยากด่า รู้สึกร่ำๆว่าปากใกล้พ่นไฟให้ยั้งคำ อย่าให้พิษพุ่งใส่เขาให้ปวดแสบปวดร้อน เมื่อคิดอยากลงมือลงไม้ เหมือนใกล้กลายร่างเป็นยักษ์ก็ยื้อมือยื้อไม้ของตัวเองให้ทัน อย่าได้ลงมือตุ้บตั้บจริง ณ จังหวะพิสูจน์ใจว่าจะเอาเขาหรือเธอไว้ในชีวิตต่อไหมก็ดูเถอะว่า คุณตัดสินใจเอาหรือไม่เอา! Cr.DungtrinO O O Oบทสวดขอขมากรรม ถอนคำสาบาน “อุกาสะ อัจจะโยโนภันเต อัจจะขมา ยะถาพาเล ยะถามูลเห ยะถาอะกุศเลเยมะ ยังกะรัมหา เอวังภันเต อัจจะโยโน ปะฏิคัณ หะถะ อายะติง สังวะเรยยามะ”ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมากรรม ที่ได้กระทำความผิดอกุศลเข้าสิงจิตให้กระทำผิด พูดผิด คิดผิด ด้วยกายวาจาใจ เคยลบหลู่พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ สมมติสงฆ์ พระโพธิสัตว์ ลบหลู่บิดามารดาครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกท่าน ลบหลู่เทพทรงองค์เทพ และองค์พรหมทั้งหลาย ลบหลู่พระธรณี พระแม่คงคา พระแม่โพสพ พระเพลิงพระพาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายในหมื่นโลก ธาตุ ในแสนโกฏิจักรวาล ในอนันตจักรวาล ไม่ละอายบาปไม่เกรงกลัวต่อบาปซุบซิบนินทาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นชอบเพ่งโทษแล้วโยนความผิด ให้ผู้อื่น ยุยงส่งเสริมให้แตกความสามัคคีวิบากกรรมอันใดที่ข้าพเจ้าเคยติดสินบนไว้ ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เทพเจ้าเหล่าเซียนพระองค์ใดภูตผีปิศาจอสุรกายยักษ์มารเหล่าใด เทพพรหมทุกชั้นฟ้า เจ้าพ่อเจ้าแม่เจ้าที่เจ้าทาง ผีสางนางไม้ท่านใด ได้ไปแก้บนแล้วก็ดี หรือลืมไม่ได้แก้บนก็ดี เจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี เป็นหนี้ผูกพันกันมาในอดีตชาติเป็นร้อยชาติพันชาติหมื่นชาติแสนชาติ...บัดนี้ข้าพเจ้าขอสำนึกผิด ในการกระทำทั้งปวง ด้วยกายวาจาใจ ขอให้ท่านทุกรูป ทุกนาม ทุกจิต ทุกวิญญาณทุกภพ ทุกภูมิ โปรดงดโทษอโหสิกรรมให้เป็นอภัยทานให้ขาดจากกันในชาตินี้ ข้าพเจ้าจะสำรวมระวังไม่ขอติดสินบนอีกต่อไป จะกราบขอพรเพียงอย่างเดียว ข้าพเจ้า ชื่อ.....นามสกุล......ขอถอนคำอธิษฐานที่ผิดและคำสาปแช่งทุกชนิด ด้วยจิตริษยาอาฆาตพยาบาทด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลงจองล้างจองผลาญเบียดเบียนผู้อื่นด้วยกายวาจาใจ มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน มานะทิฏฐิ กิเลส โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ชอบอธิษฐานในสิ่งที่ผิดๆ ข้าพเจ้าขอถอน ณ บัดนี้O O O Oพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน กรรมเป็นมรดกของตน กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของตน”...“กรรม” ไม่ใช่คำสาป ไม่ใช่การลงโทษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่คือ “ผลของการกระทำ ทั้งกาย วาจา ใจ”...ที่เราสร้างขึ้นเอง บางกรรมเกิดผลทันตา บางกรรมใช้เวลาหลายชาติภพกว่าจะตามทัน... คนที่ทำดีแล้วไม่เห็นผลในชาตินี้ อย่าเพิ่งท้อ เพราะผลดีอาจกำลังรอเบ่งบานในอีกภพหนึ่ง...ในขณะที่ผู้ทำชั่วแล้วสบายชั่วคราวก็มิใช่รอดพ้นกรรม หากเพียงแต่ “ดอกผล” ยังไม่สุกงอมเท่านั้นเมื่อกรรมตามทัน...หลายคนจึงเริ่มมองหา “ทางแก้” จนคำว่า “แก้กรรม” กลายเป็นคำยอดฮิตในยุคปัจจุบันตั้งแต่การทำบุญตักบาตร สวดมนต์ ถือศีล ปล่อยสัตว์ ทำทานไปจนถึงพิธีกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งในวัดและนอกวัด แต่แท้จริงแล้ว “การแก้กรรม” ในหลักธรรมไม่ได้หมายถึงการลบล้างกรรมเก่าให้หาย ...เพราะ “กรรมที่ทำแล้ว ไม่มีใครลบได้” สิ่งที่ทำได้คือ “เปลี่ยนทิศทางของกรรม” ด้วยการ สร้างกรรมใหม่ที่ดีมาทับถมแทนเหมือนน้ำที่เคยขุ่นจากโคลนตมจะไม่กลับมาใส...จนกว่าเราจะหยุดคนขุ่น แล้วค่อยๆเติมน้ำดีลงไป...คนที่มีศรัทธาจริง ย่อมเริ่มแก้กรรมจากภายใน เริ่มจาก “ขอขมาผู้ที่เคยล่วงเกิน”...“ให้อภัยผู้ที่ทำร้ายเรา”...และ “ตั้งใจทำดีโดยไม่หวังผล” เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่จะทำให้กรรมเก่าคลายพลังลง และกรรมใหม่ที่ดีเข้ามาแทนที่...การแก้กรรมไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่คือ “การเริ่มต้นใหม่ในใจเรา”ไม่มีใครหนีกรรมได้ แต่ทุกคนเปลี่ยนกรรมได้...หากเราหยุดทำชั่ว หันมาทำดี พูดดี คิดดี กรรมเก่าก็จะค่อยๆหมดแรง เหมือนเงาที่ค่อยๆจางเมื่อแสงสว่างเข้ามาแทน“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อ ไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.รัก-ยมคลิกอ่านคอลัมน์ “เหนือฟ้าใต้บาดาล” เพิ่มเติม