“ซาวด์ผี” “บ้านหนองหญ้า แก้ว-บ้านหนองจาน” ส่อบานปลาย หลังทหาร-รัฐบาล กัมพูชาประสานเสียง อ้างทำกระทบจิตใจรบกวนการพักผ่อน “กลุ่มเปราะบาง” ที่ปักหลักอยู่ริมชายแดนไทย-กัมพูชา แห่ร้องข้าหลวงใหญ่ฯ ยูเอ็น-นำคณะ IOT เข้าพื้นที่กลางดึก ขณะที่ “สว.อังคณา” ห่วงรัฐบาล ระบุการกระทำของอินฟลูฯดังอาจผิดอนุสัญญา CAT รอฟังรัฐบาลชี้แจงในเวทีโลก ด้าน “กัน จอมพลัง” สวนกลับทันที ตอนคนไทยถูกทำร้าย ด่าทอทหารไทย กลับไม่มีนักสิทธิฯไทยออกมาท้วงติงอีกฝ่าย ขณะที่ ผบ.พล.ร.2 รอ. ลั่นทำในแผ่นดินไทย ไม่สนกัมพูชาฟ้องไปทั่ว ส่วนผลการปฏิบัติการสแกนพื้นที่ “หนองหญ้าแก้ว” “ทหารช่าง” พบทุ่นระเบิดสังหาร PMN เพิ่มอีก 2 ทุ่น รวม 3 วัน เจอแล้ว 5 ทุ่น คืนพื้นที่ปลอดภัยโซนแรกได้กว่า 1.5 หมื่น ตร.ม.ไทยยังปฏิบัติการเคลียร์พื้นที่บ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ต่อเนื่องเป็นวันที่สาม โดยผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่แนวชายแดน บ้านหนองหญ้าแก้ว-บ้านหนองจาน ช่วงเช้าวันที่ 12 ต.ค.ยังคงตึงเครียดตลอดคืนที่ผ่านมา เมื่อฝั่งกัมพูชา ที่บ้านเปรยจัน มีการระดมชาวบ้านจำนวนมาก ทั้งเด็กเล็ก คนแก่ และสตรีถูกเกณฑ์ให้ออกมาตั้งเต็นท์ค้างคืน อ้างว่าได้รับผลกระทบจาก “เสียงผี” ที่ฝ่ายไทยเปิดในพื้นที่ฝั่งไทย โดยในช่วงเวลา 22.50 น.ของวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา กองทัพกัมพูชายังพาคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) มาที่บ้านจกเจย ตรงข้ามบ้านหนองจาน เพื่อตรวจสอบข้อกล่าวหาไทยว่าเป็น “การข่มขู่ทางจิตใจ”จากนั้น 30 นาทีต่อมา นายเนธ พักตรา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศของกัมพูชา โพสต์คลิประบุว่า “เสียงผีที่คนไทยส่งมานั้นดังสนั่นหวั่นไหว ถือเป็นการคุกคามทางจิตใจต่อชาวบ้านชายแดน” ขณะที่ ผอ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชาได้ส่งหนังสือด่วนถึงนายโวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ร้องเรียนว่าไทยใช้ลำโพงเสียงดังข่มขู่ประชาชนในพื้นที่บ้านจกเจย-บ้านเปรยจัน ตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้ว-บ้านหนองจาน กระทั่งเวลา 00.04 น.วันที่ 12 ต.ค.มีรายงานว่ากองทัพกัมพูชานำคณะ IOT มาที่บ้านเปรยจันอีกครั้งเพื่อเก็บภาพและข้อมูลร้องเรียน โดยอ้างว่าชาวบ้านจำนวนมาก “ได้รับผลกระทบจากเสียงหลอนและหมาหอนจากฝั่งไทย”ขณะเดียวกัน เพจ Army Military Force ของไทยรายงานสวนว่า ทหารกัมพูชาเกณฑ์เด็กและคนแก่ให้มาตั้งเต็นท์นอนกลางชุมชนเพื่อ “จำลองสถานการณ์” ให้ดูเหมือนว่าประชาชนในพื้นที่เดือดร้อนจากเสียงดัง โดยพยายามสร้างภาพต่อคณะผู้สังเกตการณ์ IOT ที่ลงตรวจสอบในช่วงกลางคืน ต่อเนื่องเวลา 00.10 น.กองทัพกัมพูชานำคณะผู้สังเกตการณ์เดินทางไปยังพื้นที่ตรงข้ามบ้านหนองจานอีกครั้ง ขณะฝั่งไทยเปิดเสียงสารคดี “ค่ายอพยพบ้านหนองจาน” เล่าประวัติศาสตร์ช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา ที่ประชาชนกัมพูชาหลบหนีเข้ามาพึ่งไทยในอดีต เป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตแดนไทยจากนั้นช่วงสาย นางอังคณา นีละไพจิตร สว.ได้ออกมากล่าวถึงกรณีนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวช หรือ “กัน จอมพลัง” นำรถเครื่องเสียงเข้าไปเปิดเสียงเฮลิคอปเตอร์ เสียงเครื่องบิน F-16 และเสียงผี ที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อกดดันและข่มขวัญชาวกัมพูชาที่ไม่ยอมออกจากพื้นที่ว่า การที่รัฐบาลปล่อยให้บุคคลทั่ว ไปเข้าไปกดดันฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ได้ อาจทำให้งานเข้ารัฐบาลเอง ในช่วงความขัดแย้ง/สงคราม การปล่อยให้อินฟลูฯ หรือกลุ่มบุคคลเข้าไปกระทำการสร้างความกดดัน หรือความหวาดกลัว ถือเป็นความท้าทายอย่างมากต่อรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีต่างประเทศ ถึงแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกร่วมกัน รัฐบาลไทยควรตระหนักว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นถูกรายงานไปยังองค์การสหประชาชาติ รัฐบาลควรตระหนักว่าการทำใดๆที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวหรือส่งผลกระทบต่อจิตใจของพลเรือนแม้จะเป็นคู่ขัดแย้งในสงคราม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาจเข้าข่ายการทรมานทางจิตวิทยา ตามอนุสัญญา CAT ที่ไทยเป็นภาคีอยากฟังว่ารัฐบาลจะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไรในเวทีระดับโลก ต่อมานายกัณฐัศว์ หรือกัน จอมพลัง อินฟลูฯ คนดังได้ออกมาตอบโต้ถึงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ไทยคำนึงถึงมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริง ฝ่ายกัมพูชาเคยนำเด็ก ผู้หญิงมีครรภ์ ผู้สูงอายุ และพระสงฆ์ไปตั้งอยู่หน้าแนวปะทะ มีการทำร้ายและด่าทอทหาร แต่กลับไม่มีนักสิทธิฯ ออกมาท้วงติงฝ่ายกัมพูชา เมื่อฝ่ายไทยดำเนินการบางเรื่อง กลับมีนักสิทธิฯออกมาปกป้องชาวกัมพูชา จึงเป็นเหตุให้ตนยังยืนยันจะดำเนินกิจกรรมต่อไปและหายุทธวิธีที่ “สร้างสรรค์” ในลักษณะที่กล่าว และย้ำว่า “คืนนี้ก็จะเปิดอีก แต่ว่าจะแตกต่างกันออกไป”ขณะที่ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณี พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่า การออกอากาศเสียงจากลำโพงในฝั่งไทยมีลักษณะก่อให้เกิดความตื่นตระหนก และรบกวนการพักผ่อนของพลเมืองกัมพูชา โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาบุกรุกเข้ามาในเขตไทย มีความขัดแย้งมาต่อเนื่อง ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชามีการจัดตั้งมวลชนร่วมกับเจ้าหน้าที่เข้าขัดขวางและยั่วยุฝ่ายไทย ทำให้คนไทยได้รับผลกระทบและเกิดความไม่พอใจ จนออกมาแสดงออกด้วยวิธีต่างๆ และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐเร่งดำเนินการจัดการกับปัญหาดังกล่าวพล.ต.วินธัยกล่าวอีกว่า การแสดงออกดังกล่าว เป็นวิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อแสดงความไม่พอใจที่ฝ่ายกัมพูชาบุกรุกแผ่นดินไทย และบิดเบือนสร้างเรื่องราวตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่พยายามแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้น กลับกันฝ่ายกัมพูชามีการชุมนุมมักใช้วิธีก้าวร้าวและมีสิ่งเทียมอาวุธเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ไทย จนได้รับบาดเจ็บ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าฝ่ายกัมพูชาควรหาทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน แทนที่จะออกมาเรียกร้องต่อการกระทำของฝ่ายไทยด้าน พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รอ.ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา (ผบ.กกล.บูรพา) กล่าวถึงเรื่องซาวด์ผี ที่กัมพูชาไปร้องเรียนคณะ IOT ว่า “จะร้องก็ร้องไป ผมทำในแผ่นดินไทยของผม ผมมีพี่น้องทหารที่เข้าเวรเฝ้ายามอยู่ มีความเหนื่อยล้า ผมช่วยให้พี่น้อง ทหารตื่น แล้วทำไมอะ ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนเลย มันทำบ้านผม แผ่นดินผม อยากจะฟ้องอะไรก็ฟ้องไป ผมไม่แคร์ เรื่องนี้”ผบ.กกล.บูรพา ยังกล่าวถึงการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ว่า เมื่อวันที่ 11 ต.ค. เจอทุ่นระเบิด 3 ทุ่น หมายความว่า ยังมีเหลือตกค้างในพื้นที่ และเป็นที่น่าเสียใจที่อีกฝ่าย พยายามขัดขวางเข้าดำเนินการ แต่ทางไทยไม่ได้สนใจ เพราะทำหนังสือออกไปตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค. แล้ว และเป็นปฏิบัติการในแผ่นดินไทย ส่วนเรื่องการผลักดัน กัมพูชาหลังจากนี้จะไม่มีการเจรจาแล้ว แต่หากเขา จะขอเจรจา ขอให้มีความจริงใจ ที่ผ่านมาเขาทำหนังสือ มาแบบคลุมเครือ เชิญไปประชุมแต่ไม่แจ้งเรื่องจึงกลัวว่าหากไปแล้วจะเสียเที่ยวเหมือนทุกครั้ง และไม่ได้ประโยชน์ หากคุยเรื่องที่เราเสนอไปแต่แรกก็จบแล้ว ยืนยันว่า กำลังใจของทหารตอนนี้ดี “ทหารพร้อม เมื่อไหร่เมื่อนั้น เมื่อได้เปรียบ”ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณี “กัน จอมพลัง” เช่นกันว่า ทุกคนที่เป็นคนไทยไม่มีใครชอบที่มีคนรุกรานอธิปไตย เขาแสดงออกในสิ่งที่คิดว่าทำแล้วทำให้คนทั่วไปรู้ว่านี่คือดินแดนไทย ตนจะพยายามทำให้เป็นสากลมากที่สุด นายกัน จอมพลัง เวลาที่ ช่วยเหลือประชาชนก็ต้องยอมใจ การได้คนอย่างกัน มาเสริม ประชาชนได้ประโยชน์ แต่ความช่วยเหลือแรกต้องมาจากรัฐบาลก่อน รัฐบาลต้องไม่ผลักภาระนี้ให้ประชาชนดูแลกันเอง และยืนยันจะไปบ้านหนองจาน แน่นอน แต่การไปต้องไม่เป็นอุปสรรคการทำงานของเจ้าหน้าที่สำหรับการซ้อมแผนอพยพประชาชนจากพื้นที่ชายแดนของจังหวัดสระแก้ว ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว จำนวน 10 แห่ง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เริ่มขึ้น ในเวลา 09.00 น. ด้วยการเปิดสัญญาณเตือนภัยความไม่สงบ ประชาชนต่างหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า ข้าวของอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่จังหวัดกำหนด โดยมีผู้นำชุมชนรวบรวมชาวบ้านที่ศาลากลางหมู่บ้าน ก่อนอพยพด้วยรถขององค์การบริหารส่วนตำบลไปยัง พื้นที่ปลอดภัย ท่ามกลางหน่วยงานทุกภาคส่วนเข้าร่วมบูรณาการฝึกซ้อมอย่างพร้อมเพรียง และนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ในฐานะ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ฝึกซ้อมแผนอพยพ ร่วมกับ พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผบ.กกล.บูรพา มาตรวจเยี่ยมการฝึกซ้อม ให้คำแนะนำและตรวจสอบความพร้อมของทุกหน่วยงานในพื้นที่การซ้อมแผนครั้งนี้เป็นการจำลองสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน อ.โคกสูง ซึ่งนำไปสู่ การอพยพประชาชนจาก 4 อำเภอ ได้แก่ อ.ตาพระยา อ.โคกสูง อ.อรัญประเทศ และ อ.คลองหาด ไปยังศูนย์ พักพิงจังหวัดสระแก้ว ที่ยังมีการบริหารจัดการภายใน ศูนย์พักพิงชั่วคราวอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การลงทะเบียน ผู้พักพิง การจัดพื้นที่พักอาศัย การดูแลด้านสาธารณสุข อาหาร และน้ำดื่ม รวมถึงการถอดบทเรียน และประเมิน ผลการปฏิบัติงาน เพื่อสรุปจุดแข็ง จุดอ่อน ปัญหาอุปสรรค และแนวทางพัฒนาแผนอพยพประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นจากนั้นในช่วงบ่ายศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 (ศปก.ทภ.1) สรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 12 ต.ค. ณ เวลา 15.00 น. พื้นที่บ้านหนองจาน ฝ่ายไทยมีมวลชนพ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งนักข่าวเข้ามาในพื้นที่ และมูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ นำตู้คอนเทนเนอร์ 20 ตู้ มาวางบริเวณ จต.ส.40 ส่วนฝ่ายกัมพูชาพบ ความเคลื่อนไหวของมวลชนและเจ้าหน้าที่ประมาณ 30-40 คน คอยติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายไทย ส่วนพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ฝ่ายไทยมีมวลชนเข้ามา จำนวนหนึ่ง ส่วนฝ่ายกัมพูชาพบความเคลื่อนไหวของมวลชนราว 30-40 คน ในวัดเปรยจัน ที่เป็นจุดศูนย์กลางในการแจ้งข่าวสาร เป็นพื้นที่รับ-ส่งเสบียง สิ่งของสัมภาระ และสิ่งของอุปโภคบริโภคส่วนกรณีฝ่ายกัมพูชานำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ไปยังหมู่บ้านโจกเจยและหมู่บ้านเปรยจัน เพื่อสังเกตการณ์ ตรวจสอบ การเปิดเครื่องเสียงผ่านลำโพงของฝ่ายไทย อ้างเป็นการข่มขู่และคุกคามทางจิตใจและสร้างความรำคาญแก่ชาวกัมพูชาในพื้นที่นั้น ทีมงานฝ่ายไทยได้ทำการกระจายเสียงเกี่ยวกับสารคดีประวัติศาสตร์ในค่ายอพยพ เมื่อประชาชนกัมพูชาหนีภัยสงครามกลางเมืองมาพึ่งพาอาศัยในพื้นที่ประเทศไทย และประชาสัมพันธ์แจ้งให้ผู้บุกรุกชาวกัมพูชาในพื้นที่อธิปไตยไทย ในข้อหาบุกรุกและครอบครองพื้นที่ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มีโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท ถือเป็นส่วนหนึ่งการปฏิบัติการจิตวิทยา ตามแผนจากเบาไปหาหนักของฝ่ายพลเรือนสำหรับภารกิจการเก็บกู้ระเบิด กกล.บูรพา ยังคงเดินหน้าตรวจสอบค้นหาวัตถุระเบิดที่คาดว่าตกค้างในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว โดยจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์พร้อมอุปกรณ์ตรวจค้น รถถากถางหุ้มเกราะ D5 เครื่องจักร GCS-200 จนท.หน่วย ช.สนาม 7 ชุด และได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) ร่วมปฏิบัติการเพื่อคืนพื้นที่ปลอดภัยครอบคลุมอธิปไตยของไทยทั้งหมด ซึ่งล่าสุดหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 (ฉก.12) รายงานผลการปฏิบัติการ พบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (PMN) เพิ่มอีก 2 ทุ่น อยู่ในสภาพพร้อมทำงาน โดยทุ่นแรกพบเมื่อเวลา 15.26 น.ที่พิกัด 48PTA 55148 28943 ทุ่นที่ 2 พบเมื่อเวลา 16.13 น.ที่พิกัด 48PTA 55099 28917 สรุปผลการปฏิบัติสะสมตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค.ถึงปัจจุบัน ฉก.12 ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล รวมทั้งสิ้น 5 ทุ่น เป็นชนิด PMN ทั้งหมดอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานด้าน พ.ท.ศราวุธ สระทองเทียน ผู้บังคับกองพันทหารช่างที่ 2 ฉก.12 กกล.บูรพา กล่าวถึงแผนดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่หนองหญ้าแก้วว่า เจ้าหน้าที่จะถางป่าหญ้าเพิ่มเติม และใช้เจ้าหน้าที่เดินตาม คาดว่าจะพบทุ่นระเบิดที่ตกค้างเพิ่มเติม สําหรับพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยที่หนองหญ้าแก้ว ที่จำกัดวงเป็นพื้นที่สีแดง มีประมาณ 102,874 ตารางเมตร ในจำนวนนี้ได้แบ่งเป็น 4 โซน โซนเอ มีอยู่ประมาณ 29,726 ตารางเมตร ปัจจุบันสามารถคืนพื้นที่ได้เรียบร้อยแล้ว 15,042 ตารางเมตร ส่วนที่เหลือคาดว่าจะใช้เวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ เนื่องจากมีอุปสรรคจากสภาพอากาศอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่