“อนุทิน” ลงพื้นที่ดับไฟใต้ กำหนดนโยบาย 3 ข้อ สั่งแม่ทัพภาค 4 ยกระดับการทำงานเชิงรุก บังคับใช้กฎหมายเท่าเทียม และผนึกกำลังทุกภาคส่วน พร้อมเร่งสางคดีปล้นร้านทองที่ จ.นราธิวาส และเหตุ ระเบิดหลายจุดใน จ.ยะลา ขณะที่หัวหน้าคณะพูดคุย สันติสุขฯ สนธิกำลังทุกฝ่ายตั้งแท่นเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็น ประสานมาเลเซียเป็นแม่งานเพื่อหาความสงบสุขนายกรัฐมนตรีและคณะลงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ สั่งปฏิบัติงานเชิงรุก เปิดเผยเมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 11 ต.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศเดินทางไปที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 56 จ.สงขลา จากนั้นนายอนุทินขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปยังค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เป็นประธานประชุมฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ มี พล.ท.นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาค 4 นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยงานในพื้นที่ร่วมประชุมนายอนุทินกล่าวว่า มาตรวจเยี่ยมหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยความห่วงใยต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกคน เพราะสถานการณ์ยังอ่อนไหว มีความท้าทาย ขอให้แม่ทัพภาค 4 นำความผาสุกมาสู่สังคมและประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะที่ผ่านมา ขอแสดงความเสียใจต่อผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่เพื่อบรรลุเป้าหมาย และรักษาอธิปไตยของชาติไว้เหนือสิ่งอื่นใดนายอนุทินกล่าวว่า เพื่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานขอให้ 1.ยกระดับงานการข่าวเชิงรุก ทำงานให้เร็วกว่าผู้ก่อเหตุ 1 ก้าวเสมอเป็นอย่างน้อย 2.บังคับใช้กฎหมายเท่าเทียม ประชาชนต้องได้รับการคุ้มครองผู้กระทำผิดใช้ความรุนแรงต้องถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเด็ดขาดและเข้มงวด 3.ผนึกกำลังทุกภาคส่วนอย่างเป็นเอกภาพ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชนทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนและอธิปไตยของชาติ ให้ทุกหน่วยงานโดยเฉพาะ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ตำรวจ ให้ความสำคัญภารกิจรักษาความปลอดภัยพื้นที่ ควบคุมมิให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง เพราะห้วงที่ผ่านมามีความถี่ของเหตุการณ์และเกิดเหตุใหญ่ โดยเฉพาะ จ.นราธิวาส จุดยุทธศาสตร์สำคัญช่องทางข้ามแดนต่างๆ ที่เป็นปัจจัยเอื้อให้ผู้ก่อเหตุหลบหนี ความมั่นคงที่แท้จริงคือการที่ประชาชนใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่หวาดระแวง รู้สึกว่าเจ้าหน้าที่รัฐคือที่พึ่งอย่างแท้จริงต่อมาเวลา 13.30 น. ที่ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี นายอนุทินให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ว่า รับฟังสถานการณ์ในพื้นที่ ขอให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงานเต็มที่ กลับมาเป็นหนึ่งเดียวเหมือนอดีต การบังคับใช้กฎหมายต้องเด็ดขาด ยกระดับการทำงานด้านการข่าวเน้นความปลอดภัยประชาชนเป็นสำคัญ เมื่อถามถึงกรณีแต่งตั้ง พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ นายอนุทินตอบว่า ทำงานร่วมกับ พล.อ.สมศักดิ์มานานตั้งแต่เป็นเลขาธิการ สมช. เมื่อ รมว.กลาโหมเสนอชื่อมามั่นใจจะปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพ มีประสบการณ์ทำงาน มั่นใจการเจรจาสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อถามถึงเหตุปล้นทองที่ จ.นราธิวาส และเหตุระเบิดหลายจุดใน จ.ยะลา นายอนุทินตอบว่า ตำรวจภูธรภาค 9 ดำเนินการเต็มที่ พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้มักเกิดเหตุบ่อย เพราะภูมิประเทศเอื้ออำนวยให้ผู้กระทำผิดข้ามแดนได้ทันทีในระยะเวลาสั้น ต้องตั้งชุดตรวจลาดตระเวน ซีลช่องทางออกธรรมชาติให้มากที่สุด ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนรักษากฎหมายให้เข้มข้น ส่วนการก่อเหตุในช่วงเปลี่ยนถ่ายกำลังพลถือเป็นการท้าทายหรือไม่นั้น เราอ่านใจเขาไม่ได้ อาจเป็นสิ่งที่เขาวางแผนไว้แล้ว แต่มาสอดคล้องกับจังหวะที่มีการเปลี่ยนผ่าน ทั้งแม่ทัพภาค 4 เลขาธิการ ศอ.บต. ผวจ.หรือแม้กระทั่งนายกฯ ไม่มีช่วงทดลองงาน ต้องทำงานได้เลย ต้องดำเนินการเต็มที่เอาคนผิดมาลงโทษให้เร็วที่สุด การติดตามตัวผู้ก่อเหตุที่หลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้านนั้น ต้องใช้ทุกกลไกที่มีฝ่ายนโยบายมีหน้าที่สนับสนุน เมื่อถามว่าจะมีแผนระยะยาวป้องกันไม่ให้ผู้ก่อเหตุไปประเทศเพื่อนบ้านหรือมีโอกาสทำแนวรั้วหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า กองทัพจะดำเนินการทุกอย่างในการรักษาอธิปไตย ไม่มีใครอยากให้ถึงจุดนั้น แต่ถ้ามีการล่วงละเมิดกฎหมาย อันตรายต่ออธิปไตยและประชาชน พร้อมดำเนินการเต็มที่ไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นด้าน พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนภาคใต้ กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งคณะพูดคุยแนวทางสันติสุขชายแดนภาคใต้ว่า ขณะนี้รอคำสั่งอยู่ เมื่อคำสั่งเสร็จแล้วจะมีองค์ประกอบ คล้ายของเดิม จะเชิญผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาร่วมการพูดคุยเป็นส่วนหนึ่ง และมีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น การทำงานของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ากองทัพ ตำรวจ กระบวนการยุติธรรม ศอ.บต. และอีกหลายองค์ประกอบ ตนมีหน้าที่ช่วยบูรณาการสิ่งเหล่านี้ให้ไปในทิศทางเดียวกัน เป็นประโยชน์ต่อการพูดคุย หากไปพูดคุยเพียงลำพังจะไม่มีหน้าตักที่จะไปคุยกับเขา ต้องใช้เจ้าหน้าที่ทุกๆฝ่าย ถือเป็นการปฏิบัติภารกิจเชิงนโยบายตามที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อรัฐสภาว่า จะเร่งขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เห็นผลภายใน 4 เดือนแรกของการทำงาน เมื่อถามว่า มาเลเซียยังเป็นผู้อำนวยความสะดวก เพื่อประสานงานกระบวนการพูดคุยสันติสุขใช่หรือไม่ พล.อ.สมศักดิ์ตอบว่า มีเวลาไม่มาก ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรมาก ต้องใช้บริการมาเลเซียไปก่อน จะต้องกำหนดบทบาทฝั่งไทยให้มากขึ้น ที่ผ่านมาไปคล้อยตามเขามากเกินไป ต้องมีความเข้มข้นฝั่งเราให้มากขึ้น หากจำเป็นต้องใช้เครื่องมืออำนวยความสะดวกเพิ่มเติมอาจต้องคุยกับเขาอีกครั้ง ยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลามากเท่าไร เมื่อถามว่าคณะพูดคุยจะมุ่งเจรจาไปยังกลุ่มบีอาร์เอ็นหรือไม่ พล.อ.สมศักดิ์ตอบว่า จะพยายามพูดคุยกับทุกๆกลุ่ม แต่กลุ่มบีอาร์เอ็นพูดคุยกันมาพักใหญ่ก็ต้องคุยกับเขาก่อน แต่ไม่ได้แปลว่าจะเป็นกลุ่มเดียวที่จะพูดคุยด้วย ถ้ามีความคืบหน้าอะไรจะแจ้งต่อไปต่อมาเวลา 14.45 น. ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นายอนุทิน และคณะเดินทางเข้าเยี่ยมกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุความไม่สงบพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.สงขลานครินทร์ 4 นาย ได้แก่ ร.ต.ต.สมชาย ปานเจี้ยง ส.อ.บุริศวร์ ระดาชัย อส.ทพ.พันธกานต์ อินทะเขื่อน และ อส.ทพ.สุริยาวุธ ช่างเกวียนดี นายกรัฐมนตรีมอบของเยี่ยมแก่ผู้บาดเจ็บเป็นผลิตภัณฑ์โอทอป จากนั้นนายกฯให้สัมภาษณ์ภายหลังเยี่ยมกำลังพลที่บาดเจ็บว่า ทุกคนพ้นขีดอันตราย มีสติสัมปชัญญะดี เรื่องการเยียวยาเต็มที่ มีกฎระเบียบดูแลผู้ประสบเหตุโดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และอาจารย์แพทย์มอบพระไพรีพินาศ รพ.สงขลานครินทร์ จัดสร้างขึ้นถือเป็นสิริมงคล ไม่ต้องการให้ใครพินาศ แต่ให้ศัตรูพินาศขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงสถานการณ์ความไม่สงบพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เป็นห่วงพื้นที่ดังกล่าวยังเกิดเหตุความไม่สงบต่อเนื่อง ทั้งการปล้นทองและก่อการร้ายที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พรรคไทยสร้างไทยขอส่งกำลังใจไปยังประชาชน ทหาร ตำรวจทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ เรียกร้องรัฐบาลให้ความสำคัญดูแลฟื้นฟูความมั่นคงในพื้นที่ เน้นป้องกันเหตุรุนแรงไม่ให้เกิดซ้ำ จัดระบบเยียวยาที่เป็นธรรมทั่วถึง ขอเสนอให้รัฐบาลปรับเพิ่มอัตราเยียวยาความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สินของประชาชน ทหาร ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ให้เท่าเทียมกับการสูญเสียจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อสร้างความเป็นธรรม เพิ่มขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่และผู้ได้รับผลกระทบ รัฐบาลต้องเปลี่ยนแนวทางแก้ปัญหาชายแดนใต้จากเชิงรับเป็นเชิงรุก ฟื้นฟูความสงบสุขให้ประชาชนเชื่อมั่นจะได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมอย่างแท้จริงอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่