ในปี 2439 “อัลเฟรด โนเบล” นักธุรกิจชาวสวีเดน ผู้มีทรัพย์สินมหาศาล ได้ทิ้งพินัยกรรมขอยกมรดกมูลค่า (คิดเป็นอัตราปัจจุบัน) กว่า 186 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 6,000 ล้านบาท ไว้สำหรับการลงทุนในด้านความปลอดภัยสาธารณะ พร้อมให้นำดอกเบี้ยที่ได้มาเป็นรางวัลในแต่ละปี มอบให้บุคคลหรือองค์กรที่ทำผลงานที่สร้างประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติจนเป็นที่มาของรางวัล “โนเบล” อันทรงเกียรติในทุกวันนี้ ซึ่งมีการจัดประเภทรางวัลอย่างชัดเจน โดยแบ่งเป็นสาขาฟิสิกส์ เคมี การแพทย์หรือกายภาพ วรรณกรรม และสันติภาพ พร้อมกำหนดให้รางวัลสาขาสันติภาพตกเป็นของผู้ที่มีผลงานมากที่สุดหรือยอดเยี่ยมที่สุดในการสร้าง “ภราดรภาพ” ระหว่างประเทศ ไปจนถึงการล้มเลิกหรือลดจำนวนกำลังทางทหาร และการเสริมสร้างสันติภาพในวงกว้างแม้จะไม่ได้ให้เหตุผลไว้ในพินัยกรรม แต่โนเบลซึ่งเป็นชาวสวีเดนได้แยกบทบาทการตัดสินใจรางวัลสาขาสันติภาพว่า ควรเป็นหน้าที่ของสภานอร์เวย์ ในการจัดตั้งคณะกรรมการคัดสรรผู้ที่สมควรได้รับรางวัลจำนวน 5 คน ซึ่งคณะกรรมการชุดแรกในยุคนั้นประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย และศิลปินแห่งชาตินอร์เวย์ มาเรีย คอรินา มาชาโดจากนั้นโนเบลจึงมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ในอีก 40 ปีต่อมา (ปี 2479) คณะกรรมการโนเบลได้มีการปฏิรูปเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ชาวโลกว่า “จะไม่มีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง” โดยกำหนดให้สมาชิกคณะกรรมการผู้ทรงเกียรติห้ามดำรงตำแหน่งในหน่วยงานรัฐ และมีการเพิ่มกฎอีกครั้งในช่วง 4 ทศวรรษต่อมา (ปี 2520) ห้ามสมาชิกสภาของนอร์เวย์เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการคัดสรรรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพส่งผลให้คณะกรรมการชุดปัจจุบัน 5 คนนี้ เป็นตัวแทนจากกลุ่มเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และตัวแทนระดับสูงจากภาคเอกชนในการประกาศรางวัลสันติภาพครั้งแรกในปี 2444 (ค.ศ.1901) หรือ 5 ปีหลังจากพินัยกรรมของโนเบลนั้น รางวัลได้ถูกมอบให้แก่นาย “อังรี ดูนังต์” ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ผู้ให้กำเนิดคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศและสภา กาชาด เพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ยามเกิดภัยสงครามและภัยพิบัติต่างๆโดยรับรางวัลร่วมกับ “เฟรเดริก ปาสซี” นักเศรษฐศาสตร์และนักคิดชาวฝรั่งเศส ที่สนับสนุนการใช้วิธีเจรจาและเวทีสันติภาพระหว่างประเทศแทนการทำสงคราม ซึ่งทางโนเบลให้เหตุผลว่าต้องการสะท้อนสองมิติของสันติภาพคือมนุษยธรรม ควบคู่ไปกับการเมืองและการเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพขณะที่ในปี 2448 รางวัลโนเบลสันติภาพได้ถูกมอบให้แก่สตรีคนแรก คือ บารอนเนส เบอร์ธา ฟอน ซุตต์เนอร์ ชาวออสเตรีย นักเคลื่อนไหวด้านสันติภาพ และผู้ประพันธ์หนังสือต่อต้านสงคราม “Lay Down Your Arms” ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนวนิยายต่อต้านสงครามที่ทรงอิทธิพลที่สุดในศตวรรษที่ 19แต่ในเมื่อการดำรงอยู่ของสันติภาพมักพ่วงอยู่กับการตัดสินใจของนักการเมือง จึงหลีกหนีไม่พ้นที่รางวัลโนเบลจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองในท้ายที่สุด และทำให้ในปีถัดมาปี 2449 รางวัลโนเบลสันติภาพได้ถูกมอบให้แก่ผู้นำประเทศคนแรก นั่นคือ ธีโอดอร์ “เท็ดดี้” รูสเวลต์ ประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกา จากบทบาทเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ยยุติสงครามระหว่างรัสเซีย-ญี่ปุ่น (ปี 2447-2448)กลายเป็นเหตุการณ์แรกที่คณะกรรมการโนเบลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก สื่อมวลชนต่างพากันขยี้ว่า “โนเบลนอนตายตาไม่หลับ” ว่าทำไมถึงเลือกผู้นำสหรัฐฯรายนี้ทั้งที่เป็นคนมาจบงานทำให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นอาณานิคมของสหรัฐฯอย่างสมบูรณ์เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ โนเบลสาขาสันติภาพมอบรางวัลให้แก่บุคคลที่เคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพอย่างจริงจัง และบุคคลที่โดดเด่น ไปจนถึงมอบรางวัลแก่องค์กรระหว่างประเทศอย่างสำนักงานผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ องค์การกาชาดสากล กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติหรือยูนิเซฟ โครงการอาหารโลกก่อนสลับกลับไปมอบให้บุคคลทางการเมืองที่กำลังเป็นประเด็น อย่าง พล.อ.จอร์จซี มาร์แชล ผู้ก่อตั้งแผนการมาร์แชลจำกัดการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพสหรัฐฯในสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นผู้สั่งการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่ญี่ปุ่น หรือเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ จากผลงานเจรจาต่อรองยุติสงครามเวียดนาม ไปจนถึงมิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำสหภาพ โซเวียต ที่ฟื้นสัมพันธ์กับโลกตะวันตก อองซาน ซูจี แกนนำทางการเมืองผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมาอย่าง “บารัค โอบามา” ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ ก็ได้รับรางวัลทันทีหลังจากได้รับเลือกตั้งเป็นผู้นำผิวสีคนแรกของแดนพญาอินทรี ซึ่งเหมือนกับการให้เพื่อดักทาง สร้างหลักประกันไม่ไปก่อสงครามที่ไหน ซึ่งย้อนแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น มีทั้งประเด็นสงครามอิรัก อัฟกานิสถาน และซีเรียมาวันนี้วงเวียนก็กลับมาบรรจบครบรอบ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพตกเป็นของ “มาเรีย คอรินา มาชาโด” แกนนำพรรคฝ่ายค้านเวเนซุเอลา วัย 58 ปี จากผลงานเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ซึ่งการให้รางวัลครั้งนี้ก็เกิดขึ้นในเวลาประจวบเหมาะที่รัฐบาลสหรัฐฯมีแผนการใช้กำลังทางทหารกับเวเนซุเอลาเพื่อโค่นล้มผู้นำมาดูโร และหากดำเนินการจริง เปลี่ยนรัฐบาลได้จริง คนที่จะถูกผลักดันขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีเวเนซุเอลาคนใหม่ ก็คือมาเรีย คอรินา มาชาโดคนนี้นี่เอง.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม