“ไชยชนก” อ้างไม่แจง กมธ.เกรงข้อมูลรั่วไหล ให้รอผลสอบสวนเจ้าพนักงาน ไม่เกิน 1 เดือน รอชมโยงถึงรัฐบาลเก่าหรือไม่ ห่วงตัดตอนเหมือนคดีเขากระโดง- ฮั้ว สว. ผบช.ก. ชี้ต้องสืบพยานเพิ่ม ยันสอบปากคำทันกำหนด บช.สอท.โต้ “โรม” จับแล้วนับล้านเคส เสียหายกว่าแสนล้าน ขอข้อมูล “เบน สมิท” มาตรวจสอบ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ชี้อยากให้ “ทักษิณ” สอนภาษามากกว่า ไปคุมลอกท่อ ขออภัยโทษรอบ 2 ต้องทำตามหลักเกณฑ์ “รังสิมันต์” แขวะนายกฯนิ่งปราบแก๊งคอล “พิธา” ข้องใจฟันคดี 44 สส.ใกล้ยุบสภา จ้องทำลายล้างทาง การเมือง ป้อง ปชน.ไม่ใช่ฝ่ายค้ำ เย้ย “ภูมิใจดูด”แพ้ก้าวไกล มาแล้ว “หนู” ไปพิจิตรอ้อนขอยกจังหวัดอีกรอบนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ยืนยันไม่เข้าชี้แจงข้อมูลสินบน 40 ล้านบาท ต่อ กมธ.การสื่อสาร โทรคมนาคม สภาฯ อ้างกลัวข้อมูลรั่วไหล ขอให้รอผลการสอบสวนของเจ้าพนักงาน ไม่เกิน 1 เดือนมีคำตอบ“ไชยชนก” อ้างเกรงข้อมูลรั่วไหลเมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 10 ต.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้สัมภาษณ์กรณีไม่เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎร เรื่องสินบน 40 ล้านบาทว่า มีเรื่องของข้อมูล ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ กังวลว่าหากให้ข้อมูลไปจะส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ขอให้รอเป็นไปตามกระบวนการ เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะไม่ให้ข้อมูลแล้วใช่หรือไม่ นายไชยชนกตอบรับว่า ครับ หลังได้ข้อสรุปจากกระบวนการจะมาให้ข้อมูล ยืนยันว่าพร้อมชี้แจงเพราะเรื่องที่เปิดเผยเป็นเรื่องจริง แต่ให้รอการสืบสวนก่อน เกรงว่าหากมีข้อมูลอะไรหลุดไปจะส่งผลกระทบแน่นอน เมื่อถามว่ามีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ หรือมีเฉพาะกลุ่มธุรกิจสีเทา นายไชยชนกตอบว่า ให้รอดูข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าไม่ถึง 1 เดือน ขอให้รอชมให้รอชมโยงถึงรัฐบาลเก่าหรือไม่ผู้สื่อข่าวถามว่าได้รับการติดต่อมาทั้งหมดกี่ครั้ง นายไชยชนกตอบว่า มีความพยายามหลายครั้ง แต่เข้ามาถึงตนเพียงครั้งเดียวผ่านทีมงานตามที่เป็นข่าว เมื่อถามว่าในฐานะ รมว.ดีอี จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไร นายไชยชนกตอบว่า แก้ไขปัญหาโดยหน่วยงานเดียวไม่ได้ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เชื่อว่าคนในรัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญ ดำเนินการอย่างสุดความสามารถ เมื่อถามว่าหากพิจารณาจากลักษณะนี้ รัฐบาลที่ผ่านมาน่าจะมีด้วยหรือไม่ นายไชยชนกตอบว่า ไม่สามารถยืนยันได้ ขอให้รอชม จะทำอย่างเต็มที่ผบช.ก.ยันสอบปากคำทันกำหนดพล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวตำรวจ กก.1 บก.ป. สืบสวนสอบสวนไปแล้วส่วนหนึ่ง อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ล่าสุดได้พูดคุยกับทีมคลี่คลายคดี ทราบว่าอยู่ระหว่างสืบหาพยานหลักฐานบางอย่างเพิ่มเติม หากมีความคืบหน้าชัดเจนจะชี้แจงให้ทราบ หากพบการกระทำผิดจริงตามข้อกฎหมาย จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีทุจริต การพิจารณาคดีจะอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ส่วนของตำรวจยังคงพอมีเวลาสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เชื่อว่าจะเสร็จทันภายในกรอบเวลา 30 วัน ส่วนพยานบุคคลที่มีการกล่าวอ้าง หรือถูกพาดพิงถึง จำเป็นต้องติดตามตัวมาสอบปากคำในฐานะพยาน เพื่อซักถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับพยานหลักฐานบางส่วนที่ต้องพยายามเร่งสืบหามาประกอบสำนวนคดี ยืนยันว่าหากพบการกระทำผิดไม่ว่าบุคคลใด ไม่ละเว้นแน่นอน ส่วนประวัติของนายคิว ผู้ติดต่อเสนอเงิน 40 ล้านบาท ตอนนี้มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องหมดแล้วบช.สอท.โต้ “โรม” จับเป็นล้านเคสที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) จ.นนทบุรี พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง รอง ผบช.สอท. ชี้แจงตอบโต้นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน พาดพิงการทำงานของตำรวจไซเบอร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องคดีปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ทำงานล่าช้า ว่า ที่ผ่านมามีการจับกุมแก๊งสแกมเมอร์จำนวนมาก เมื่อถามว่ามีผลจับกุมเยอะแต่มีปัญหาเรื่องการดำเนินคดีกับตัวผู้ต้องหาหรือไม่ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ตอบว่า ตลอด3ปี 6 เดือนที่ผ่านมา มีผู้เสียหาย 1 ล้านเคส IDมีความเสียหายกว่า 1 แสนล้านบาท ระงับเงินได้ทัน1หมื่นล้านบาท ตำรวจไซเบอร์เน้นการป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ แต่บุคคลภายนอกอาจอยากให้เน้นเรื่องการปราบปราม แต่สิ่งที่ชาวบ้านต้องการจริงๆคือต้องการเงินคืน ไม่ใช่การจับกุม ที่ผ่านมามีนโยบายเชิงรุกหลายอย่าง ทั้งเรื่องการคืนเงินได้เร็ว และการระงับบัญชีธุรกรรมการเงิน ยืนยันไม่ได้หยุดนิ่ง มีข้อเท็จจริงเห็นได้ทุกวัน เมื่อถามว่านายรังสิมันต์โรมบอกว่าข้อกฎหมายบางอย่างเป็นอุปสรรคในการทำงาน รอง ผบช.สอท.ตอบว่า ส่วนนี้ต้องยอมรับว่ามีผล แต่บางข้อกฎหมายก็เป็นผลดี เช่น เรื่อง พ.ร.ก.การคืนเงินขอข้อมูล “เบน สมิท” มาตรวจสอบเมื่อถามถึงกรณีนายเบน สมิท ที่นายรังสิมันต์กล่าวพาดพิงถึง รอง ผบช.สอท.ตอบว่า ตำรวจไซเบอร์อยากขอให้นายรังสิมันต์นำข้อมูลมามอบให้กับตำรวจไซเบอร์ได้เลย และจะยังไม่เรียกนายรังสิมันต์เข้ามาให้ข้อมูล ไม่ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะเป็นชาวบ้านทั่วไป ผู้ใหญ่ หรือนักการเมือง เราพร้อมดำเนินการสืบสวนสอบสวนทุกราย เมื่อถามย้ำว่ามีการตรวจสอบข้อมูลนายเบน สมิท เพิ่มเติมหรือไม่ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ตอบว่า มีการตรวจสอบข้อมูลแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องและพยานหลักฐานมามอบให้ตำรวจไซเบอร์ เพื่อใช้ตรวจสอบและสืบสวนดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพราะสิ่งสำคัญคือข้อมูล หากมีข้อมูลขอให้นำมามอบให้ราชทัณฑ์ชี้ให้ “ทักษิณ” สอนภาษาช่วงเช้าที่กรมราชทัณฑ์ จ.นนทบุรี พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้สัมภาษณ์ถึงแผนการฝึกอบรมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือให้ออกไปบำเพ็ญประโยชน์ ตามที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ ลูกสาวนายทักษิณ เคยให้สัมภาษณ์ว่าคุณพ่ออยากช่วยคุมการลอกท่อว่า นายทักษิณเป็นผู้ต้องขังสูงอายุ การให้ไปทำงานต้องคำนึงถึงสุขภาพ อยากให้นายทักษิณไปช่วยเหลือด้านการศึกษา เช่น เป็นอาจารย์ภาษาอังกฤษให้ผู้ต้องขังในเรือนจำมากกว่า แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเริ่มเมื่อใด ต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์เรือนจำ ส่วนการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณเป็นไปตามขั้นตอนขออภัยโทษรอบ 2 ตามหลักเกณฑ์ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีการขอพักโทษตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ผู้ต้องขังทั่วไปต้องรับโทษมาไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แต่หากเป็นผู้ต้องขังอายุเกิน 70 ปีขึ้นไป ระเบียบกำหนดต้องรับโทษมาไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือไม่น้อยกว่า 6 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อคำนวณโทษออกมาแล้วเงื่อนใดมีโทษมากกว่ากัน ให้ยึดตามโทษที่มากกว่า ผู้เข้าหลักเกณฑ์จะสามารถยื่นขอรับการพักโทษได้ จากนั้นกรมราชทัณฑ์จะนำเรื่องเข้าคณะกรรมการเพื่อพิจารณาที่จะมีการประชุมเดือนละ 1 ครั้ง ส่วนกรณีนายทักษิณ กรมราชทัณฑ์เน้นดูแลใน 2 เรื่อง คือ สุขภาพ ยารักษาโรค และประวัติความเจ็บป่วย อีกเรื่องคือ ความปลอดภัย และการป้องกันความขัดแย้งทางการเมืองภายในเรือนจำ เพราะในเรือนจำคลองเปรมมีผู้ต้องขังที่มีความเห็นทางการเมืองหลากหลาย ต้องแยกแดนลดการเผชิญหน้า ขณะที่ประเด็นการให้ไปบำเพ็ญประโยชน์ขึ้นอยู่กับความสมัครใจผู้ต้องขัง หากทำได้เรือนจำก็พร้อมสนับสนุน ส่วนการขอพระราชทานอภัยโทษ ครั้งที่ 2 ต้องเป็นนักโทษประหารชีวิตนั้น ไม่จำเป็น การขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายบุคคลเป็นสิทธิของผู้ต้องขังทุกคน โดยในชั้นเรือนจำและกรมราชทัณฑ์ ทำหน้าที่ตรวจสอบเอกสารว่าครบถ้วนหรือไม่ เป็นพระราชอำนาจวินิจฉัยต้องส่งไปตามขั้นตอน อย่างกรณีนายบรรยิน ตั้งภากรณ์ เคยถูกตัดสินประหารชีวิตก็ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาถูกยกคือไม่ลดโทษให้ และอีก 2 ปีจึงขอยื่นได้ใหม่อีกครั้งชักทะแม่งนายกฯนิ่งปราบแก๊งคอลที่พรรคประชาชน (ปชน.) นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เรื่องการตรวจสอบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ณ วันนี้ รัฐบาลเงียบ นายกฯเงียบ จนเริ่มแปลกใจ ส่วนจะนำไปสู่การซักฟอกหรือไม่ ยังไม่มีการพูดคุย ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับนายเบน สมิท น่าเสียดายที่นายทักษิณอาจไม่ได้ใช้โอกาสชี้แจง แต่ถ้ามีโอกาสหากคนในครอบครัวชินวัตรฟังอยู่ อยากให้นายทักษิณมีโอกาสชี้แจง ฝากมาได้ ตอนนี้ข้อมูลไม่ใช่แค่ 48 หน้า แต่ไหลมาเรื่อยๆ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่บริษัทพลังงานอย่างเดียว บางบริษัทเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน บางบริษัทกลุ่มที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายนี้ มักเป็นกลุ่มที่หน่วยงานรัฐไปถือหุ้นอยู่ แสดงว่ามีความสามารถในการกำกับหรือชี้นำในสัดส่วนหุ้นที่เป็นของรัฐได้ ส่วนการติดตามเปิดโปงกลุ่มทุนเทายึดประเทศ เราต้องการเห็นรัฐบาลจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง นายกฯควรมีท่าทีออกมาได้แล้ว การฟ้องร้องดำเนินคดีกับสื่อมวลชนถึง 270 ราย ไม่ใช่สิ่งที่อยากเห็น ถ้ารัฐบาลนี้ต้องการทำตามที่แถลงนโยบายไว้ว่าจะทำงานตามหลักนิติธรรม“พิธา” ข้องใจใช้คดี 44 สส.จ้องทำลายนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมชี้มูลความผิดอดีต 44 สส.พรรคก้าวไกล ผิดจริยธรรมร้ายแรง กรณีเข้าชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในเดือน ธ.ค.ว่า การเอาจริยธรรมมาประหารทางการเมืองตลอดชีวิตไม่ถูกต้อง เป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย เรื่องนี้ต้องถาม นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่เป็นหัวหน้าการสู้คดี ส่วนตัวตรวจสอบกับทีมกฎหมาย ทราบว่าคดีนี้น่าจะเสร็จสิ้นในชั้นอนุกรรมการ ป.ป.ช. เดือน พ.ย. มีความเป็นไปได้ที่จะชี้มูลความผิดช่วงที่ยุบสภา ที่พรรคประชาชนจะถูกทำลายอีกครั้งเหมือนพรรคก้าวไกลและอนาคตใหม่ อยากส่งเสียงถามประชาชนดังๆ อยู่ดีๆมีข่าวออกมา ไม่รู้เป็นการทำลายความเชื่อมั่นพรรคประชาชนหรือไม่ หรือตั้งใจจะทำลายล้างกันจริงๆ ใช้จริยธรรมที่ไม่ได้สัดส่วน เป็นสิ่งที่อันตรายมากป้อง ปชน.ไม่ใช่ฝ่ายค้ำรัฐบาลผู้สื่อข่าวถามว่าให้คำแนะนำนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในคดีอดีต 44 สส.ก้าวไกล และการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างไร นายพิธาตอบว่า เป็นตัวของตัวเอง มองไปข้างหน้าให้เยอะที่สุด อย่าเสียกำลังใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น สถานการณ์การเมืองปัจจุบันเป็นการเมืองเฉพาะกิจ มีนายกฯเฉพาะกิจ ต้องหาสัดส่วนสมดุลระหว่างการแก้ปัญหาบ้านเมือง กับการทำตามสัญญากับฝ่ายค้าน พรรคประชาชนไม่ใช่ฝ่ายค้ำ ต้องเรียกร้องรัฐบาลและนายกฯทำตามคำสัญญาตรงไปตรงมา แบรนดิ้งพรรคภูมิใจไทยคือพูดแล้วทำ ถ้าพลิกไปมาก็ห่วงว่าแบรนดิ้งนี้จะไม่ได้ใช้อีกในการเลือกตั้งครั้งหน้า นายกฯควรเน้นบ้านเมืองมากกว่าการเมือง อย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง และอยากชวนพรรคประชาชนให้หันมาคิดในเชิงคุณภาพ ขยายฐานเสียงแต่ละพื้นที่ได้อย่างไร เช่น ภาคใต้ มีจังหวัดสำคัญอย่างนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สงขลา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 42 เขต รวมถึงภาคอีสาน ภาคเหนือ ที่การเลือกตั้งครั้งก่อนพรรคก้าวไกลยังทำผลงานไม่ดีเย้ย “ภูมิใจดูด” แพ้ก้าวไกลมาแล้วเมื่อถามว่ายืนยันได้หรือไม่ว่าเอ็มโอเอที่ทำไว้กับพรรคภูมิใจไทยจะไว้ใจได้ นายพิธาตอบว่า ขึ้นอยู่กับพรรคภูมิใจไทยจะทำตามสโลแกนหรือไม่ การยอมรับว่าเป็นพรรคภูมิใจดูด ตอนนั้นที่ดูดพรรคก้าวไกลมาแพ้หมด โดนประชาชนลงโทษ ส่วนตัวไม่กังวล เพราะทำการเมืองแบบล่างขึ้นบน คนที่ต้องกังวลคือคนทำงานการเมืองแบบบ้านใหญ่ ใช้กลไกข้าราชการ พรรคประชาชนโฟกัสที่ตัวเอง แก้ปัญหาตัวเอง หาแคนดิเดตให้ดี หายุทธศาสตร์ให้ดี สื่อสารทางการเมืองให้มากขึ้น ไม่ต้องสนใจโพลหรือสถิติ ขอให้มีสมาธิ เมื่อถามว่าพรรคประชาชนถูกมองเป็นพรรคฝ่ายค้ำรัฐบาล นายพิธาตอบว่า ไม่ใช่ฝ่ายค้ำแน่นอน การจะกู้ภาพลักษณ์เรื่องนี้ได้คือการทำงานต่อเนื่อง พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลเฉพาะกิจให้มากที่สุด คอยเตือนความนายกฯเฉพาะกิจตลอดเวลา“หนู” อ้อนยกจังหวัดพิจิตรอีกรอบวันเดียวกันที่โรงเรียนเทศบาลตะพานหินวิทยาคาร อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวกับประชาชนระหว่างลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมว่า เรามี สส. 3 คนในจังหวัดนี้ การเป็นรัฐมนตรีกับเป็น สส. และเป็นนายกฯดีทั้งหมด แต่ถ้าคนที่ทำการเมือง คนที่ถูกเลือกให้เป็น สส.และวันหนึ่งเลือกได้อย่างเดียว มีอยู่ 3 ตำแหน่งแต่เลือกได้อย่างเดียว ระหว่างรัฐมนตรี นายกฯ และ สส. รับรองร้อยทั้งร้อยขอเป็น สส. ขอให้เชื่อมั่นนี่คือความสำคัญที่พี่น้องเลือกพวกเราเข้ามา ถึงไม่ลาออกจาก สส. เพราะเป็น สส.ช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้อง และเป็น สส.ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ต้องช่วยเหลือทั้งประเทศ ฉะนั้น พวกเราขอให้มั่นใจว่าความเป็น สส. ทิ้งพ่อแม่พี่น้องไม่ได้ ต้องลงพื้นที่ พี่น้องไม่มีวันถูกทอดทิ้งแน่นอนหยอดตื๊อ “เสี่ยแฮงค์” เข้า ภท.ต่อมาที่ห้องประชุมเขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท นายอนุทินกล่าวถึงการทาบทามนายอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท พรรครวมไทยสร้างชาติ มาอยู่พรรคภูมิใจไทยว่า “นอกจากภรรยาผมแล้ว ผมก็รักพี่แฮงค์ (นายอนุชา) เป็นคนที่สอง” เมื่อถามย้ำว่าจะชวนนายอนุชามาอยู่ภูมิใจไทยหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า “ตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก” เมื่อถามว่าอีสานโพลเปิดผลสำรวจมีชื่อนายอนุทินมาเป็นอันดับหนึ่ง นายอนุทินตอบว่า ตรงนั้นดีใจคืนเดียว แต่ต้องทํางาน ยิ่งมาแบบนี้ต้องยิ่งทําให้ความคาดหวังของประชาชนไม่สูญเปล่า ยอมรับว่าจากบ๊วยมาเป็นที่หนึ่งครั้งแรก เมื่อถามว่า 4 เดือนนี้ภูมิใจไทยจะทําโพลของตัวเองหรือไม่ นายอนุทินชี้นิ้วไปที่ สส.พรรคภูมิใจไทยที่อยู่ด้านข้าง พร้อมกล่าวว่า โพลของเราคือการลงพื้นที่ และเข้าใจชาวบ้าน ไม่ต้องทําโพลหรอก เราต้องการให้ประชาชนมั่นใจในตัวเราว่าทุ่มเทให้เขาอย่างเต็มที่ จะอยู่ได้หรือไม่ได้ก็ตรงนี้แหละเมิน “พิธา” แขวะไร้ปัญหา สส.ปชน.เมื่อถามว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกระแสพรรคภูมิใจไทยดูด สส.ว่าที่ผ่านมาแม้จะดูดแต่ก็แพ้นายพิธามาแล้ว นายอนุทินย้อนถามว่า เลือกตั้งครั้งที่แล้วไม่มีดูดใคร ไม่มีปัญหากับพรรคประชาชน เราทํางานกับ สส.พรรคประชาชนในสภาเป็นอย่างดี เป้าหมายเดียวกัน เราก็ทําร่วมกันดี เช่น เรื่องรัฐธรรมนูญ กฎหมายอากาศสะอาด ครบองค์ประชุม ในเอ็มโอเอเขียนตกลงกันไว้ กฎหมายอะไรที่เป็นประโยชน์ก็จะสนับสนุนกัน อย่าไปคิดว่าใครเป็นฝ่ายค้าน ใครเป็นฝ่ายรัฐบาล และเราแสดงท่าทีชัดเจน“อนุชา” บอกยังมีเวลาตัดสินใจด้านนายอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวระหว่างมารอต้อนรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำว่า ในฐานะเจ้าของพื้นที่มาต้อนรับนายกฯ เห็นภารกิจมาตรวจราชการที่ จ.ชัยนาท เมื่อถามว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ใช่หรือไม่ นายอนุชาตอบว่า ไม่มีสัญญาณ ยังไม่ได้ตัดสินใจทางการเมืองอะไร ยังมีเวลาตัดสินใจ ต้องดูสถานการณ์บ้านเมือง และหลายสิ่งหลายอย่าง ประกอบการตัดสินใจ ส่วนตัวเป็นนักการเมืองที่ค่อนข้างนิ่ง ต้องใจเย็นๆนิดนึง เมื่อถามว่าเคยมีการพูดคุยนอกรอบกับพรรค ภท.หรือไม่ นายอนุชาตอบว่า ยังไม่ได้คุยกับใครอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่