ขนมบุกปรุงรสหม่าล่า ขนมขบเคี้ยวที่มีเนื้อสัมผัสกรุบกรอบ ให้รสเผ็ดซ่า หอมกลิ่นหม่าล่าและเครื่องเทศจีน เคี้ยวแล้วเพลิน เหมาะเป็นทั้งของว่าง กับแกล้ม หรืออาหารที่ทานให้อิ่มท้อง แต่มีแคลอรีต่ำ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการความอิ่มแต่ไม่อยากอ้วน หม่าล่า คือ พริกจากมณฑลเสฉวนของจีน ที่นำมาผสมกับส่วนผสมต่างๆ แล้วนำมาเคี่ยวกับน้ำมันจนได้เป็นซอสที่มีสีสัน ลักษณะและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ คือ เผ็ดร้อนจนชาที่บริเวณลิ้น ปัจจุบันมีการนำซอสหม่าล่ามาปรุงอาหารหลากหลายเมนูทั้งปิ้งย่าง ชาบู ซุปหม้อไฟ บะหมี่เย็น รวมถึงขนมบุกปรุงรสหม่าล่า ทว่า ซอสหม่าล่าที่นำมาปรุงอาหารนั้น นอกจากมีรสเผ็ดซ่าของพริกแล้วยังมีรสติดเค็มๆอีกด้วย แน่นอนว่าหากมีรสเค็มก็ต้องมีโซเดียมไม่มากก็น้อย วันนี้สถาบันอาหารจึงสุ่มเก็บตัวอย่างขนมบุกปรุงรสหม่าล่ารสต่างๆ จำนวน 5 ตัวอย่าง จาก 5 ยี่ห้อ จากตลาดสดในเขตกรุงเทพฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์ปริมาณโซเดียม ผลปรากฏว่าพบโซเดียมในปริมาณสูงทุกตัวอย่าง ปริมาณที่พบอยู่ในช่วง 1,136.95-1,359.81 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม โดยใน 1 วัน ร่างกายคนเราไม่ควรได้รับโซเดียมเกินปริมาณ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะหากเราทานอาหารที่มีโซเดียมปริมาณ มากๆเป็นประจำ อาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น เสี่ยงต่อภาวะไตวาย ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบ และอาจทำให้เส้นเลือดสมองตีบได้ เห็นผลวิเคราะห์อย่างนี้แล้ว ขอเตือนว่าสายหม่าล่าทั้งหลายโดยเฉพาะขนมบุกปรุงรสหม่าล่าต้องระวังให้มาก ไม่ควรทานบ่อยๆหรือทานในปริมาณมาก เพราะในแต่ละวันเราได้รับโซเดียมจากอาหารอื่นๆด้วย โดยเฉพาะจากน้ำปลา ซอส และเครื่องปรุงรสต่างๆ ส่วนท่านที่ชอบทานอาหารสำเร็จรูปขอแนะให้อ่านฉลากโภชนาการ หรือฉลาก GDA (ฉลากหวาน มัน เค็ม) บนบรรจุภัณฑ์ แล้วสังเกตปริมาณโซเดียม ที่ระบุค่าร้อยละของที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน หากบนฉลากระบุปริมาณโซเดียม 1,200 มิลลิกรัม คิดเป็นร้อยละ 60 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ก็หมายถึงว่า หากกินอาหารนั้นจนหมดร่างกายจะเหลือปริมาณโซเดียมที่ควรได้รับอีกเพียง 800 มิลลิกรัม ลองนำไปใช้ในการเลือกทานอาหารประจำวัน เพื่อความปลอดภัยของไตและหัวใจของเรา. ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัยคลิกอ่านคอลัมน์ "มันมากับอาหาร" เพิ่มเติม