นายกฯไม่ปัด “ทรัมป์” เป็นคนกลางสันติภาพไทย-กัมพูชา ย้ำ “ไม่จำเป็น” หากอีกฝ่ายปฏิบัติตาม 4 เงื่อนไข กองกำลังบูรพาบินโดรนสำรวจบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว จับตาความเคลื่อนไหวก่อนถึงวันเส้นตาย 10 ต.ค. ปฏิบัติการขับไล่ชาวเขมรที่รุกล้ำแผ่นดินไทยออกจากพื้นที่ ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่พิพาทพากันอพยพหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัยหวั่นวันเส้นตายเกิดเหตุรุนแรง พร้อมจัดเวรยามร่วมกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านเฝ้าระวังตรวจตราดูความเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนหนุ่มเชฟไทยที่เสียชีวิตหน้าตึกแถวริมถนนในเมืองปอยเปต กัมพูชา พี่สาวไปรับศพที่จุดผ่านแดนถาวรปอยเปต-บ้านคลองลึก จ.สระแก้ว กลับไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดแล้วจับตาวันเส้นตาย 10 ต.ค.ที่ไทยออกประกาศให้ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำบริเวณบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ต้องอพยพออกจากพื้นที่กลับภูมิลำเนาไป แต่จนถึงวันที่ 8 และ 9 ต.ค.ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆจากชาวกัมพูชาที่สร้างบ้านเรือนล้ำเข้ามาในดินแดนไทย ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอตัวเป็นประธานพิธีลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา ในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ตอนสายวันที่ 8 ต.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ขอเป็นประธานพิธีลงนามสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนว่า คนที่พยายามมาเป็นตัวกลาง ถือว่าเขามีเจตนาที่ดี แต่คู่สัญญาต้องปฏิบัติตามความต้องการของเราเพราะเราเป็นฝ่ายถูกรุกรานและถูกกระทำ ได้พูดไปชัดเจนแล้วว่าหากจะคุยกับเรา ถ้าจะให้มีการเจรจาใดๆเกิดขึ้น ต้องทำข้อตกลงพื้นฐาน 4 อย่างจากฝั่งเราก่อนการเจรจาถึงจะเริ่มได้ ดังนี้1.ถอนกำลังออกไป 2.ถอนวัตถุอาวุธร้ายแรงกับระเบิดออกไป 3.จัดการส่วนที่เข้ามารุกรานในพื้นที่ของเรา ต้องกลับภูมิลำเนาออกนอกเขตแดนประเทศไทยไป 4.ต้องตรวจเช็กว่าได้ถอนหรือเคลื่อนย้ายสิ่งที่เป็นภัยต่อราชอาณาจักรไทยไปเรียบร้อยแล้วหรือยัง หากเป็นเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีคนกลาง เราพร้อมเจรจา เราบ้านติดกัน คนกลางอยู่คนละทวีป หากเขามาแล้วสามารถโน้มน้าวให้ฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ได้ ทำให้คนไทยเกิดความมั่นใจว่าเขาจะไม่ถูกรุกราน ชีวิตของเขามีความปลอดภัย ถ้าอย่างนี้ถึงจะเริ่มเจรจากันต่อไป ส่วนที่มีข้อกังวลว่าวันที่ 10 ต.ค.กัมพูชาจะขนคนเข้ามาในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว เพิ่มเติม นายอนุทินกล่าวว่า เรามีกฎหมายและมีการประชุมร่วมกันถึงแผนปฏิบัติการต่างๆ ถ้าเขาเข้ามาวุ่นวายกับอธิปไตยของประเทศเรา ไม่ต้องไปกำหนดวัน ไม่มีใครยอมด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีวันที่ 10 ต.ค.ว่า ในส่วนตำรวจมีการเตรียมกำลัง คฝ.ไว้รองรับสถานการณ์ แต่จะต้องรอคำสั่งจากทางทหารว่าจะให้ปฏิบัติอย่างไร เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการประกาศกฎอัยการศึก โดยอำนาจของตำรวจสามารถดำเนินการได้ทั้ง 2 ส่วน คือ ใช้มาตรการผลักดัน หรือควบคุมตัวมาดำเนินคดี การดำเนินคดีใช้กฎหมายเกี่ยวกับคนเข้าเมืองและกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ แต่ระหว่างการคุมตัวเพื่อดำเนินคดีก่อนผลักดันกลับจะเป็นการเพิ่มภาระ เรื่องนี้อยู่ระหว่างการพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกำหนดมาตรการแก้ไขส่วนบรรยากาศที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ตั้งแต่เช้าวันที่ 8 ต.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ต่างแสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนที่อาจปะทุความรุนแรงขึ้นอีกครั้งในวันที่ 10 ต.ค. หลังมีข่าวการเคลื่อนไหวของฝั่งกัมพูชาในแนวรั้วชายแดน จนชาวบ้านต้องเร่งซ่อมบังเกอร์และที่หลบภัยชั่วคราว เพื่อป้องกันตนเองและครอบครัวหากเกิดเหตุปะทะขึ้นจริงชาวบ้านจำนวนมากพากันออกมาซ่อมแซมบังเกอร์เก่าที่สร้างไว้ตั้งแต่ปี 2554 ที่เคยเกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดนเมื่อหลายปีก่อน บางจุดมีการขุดหลุม หลบภัยเพิ่ม นำกระสอบทรายมากั้นไว้รอบบ้านเรือนที่อยู่ใกล้แนวชายแดนขณะที่ชาวบ้านหลายครัวเรือนในพื้นที่เริ่มขนย้ายของใช้จำเป็น เช่น น้ำดื่ม อาหารแห้ง และยาเบื้องต้น นำไปเก็บไว้ในบังเกอร์เป็นการเตรียมพร้อม หากต้องอพยพหรือหลบภัยในระยะสั้น มีผู้นำชุมชนช่วยประสานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและทหารในพื้นที่ให้คอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีการจัดเวรยามของชาวบ้านร่วมกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เฝ้าระวังความเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะช่วงกลางคืนที่เป็นเวลาที่ฝั่งกัมพูชามักเคลื่อนไหวเงียบๆตามแนวป่าและรั้วลวดหนามนอกจากนี้ชาวบ้านในพื้นที่ยังเรียกร้องหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 1 และกรมโยธาธิการฯ เร่งดำเนินโครงการก่อสร้างแนวกำแพงกั้นพรมแดน เพื่อป้องกันการรุกล้ำและลดความขัดแย้งระหว่างประชาชนสองฝั่ง หลายคนกล่าวว่า อยากเห็นกำแพงเสร็จในยุคนี้จะได้ไม่ต้องกลัวกันอีก แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่เกี่ยวกับการเตรียมรับมือหรือการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำของชาวกัมพูชา ขณะที่เจ้าหน้าที่กองกำลังบูรพาเพิ่มการลาดตระเวน ใช้โดรนสำรวจแนวชายแดนต่อเนื่อง สังเกตการเคลื่อนไหวของกัมพูชาและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับทุกสถานการณ์ช่วงบ่ายวันที่ 8 ต.ค. เจ้าหน้าที่กองกำลังบูรพาจัดกำลังออกลาดตระเวนตรวจสอบพื้นที่ต่อเนื่อง พร้อมนำโดรนขึ้นบินสำรวจเหนือแนวชายแดนทั้ง 2 จุด ประเมินสถานการณ์ ตรวจดูความเคลื่อนไหวของชาวกัมพูชาหลังจากที่ผ่านมาเคยมีการรวมตัวของกลุ่มมวลชนในฝั่งกัมพูชา ใกล้แนวลวดหนามและพยายามเข้ามาผลักดันเขตแดน จากการสำรวจพบว่าบริเวณแนวลวดหนามและสแลนกั้นเขตแดนบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว ไม่มีมวลชนชาวกัมพูชามารวมตัว และไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติจากฝั่งตรงข้าม แต่เจ้าหน้าที่ยังคงตรึงกำลังในพื้นที่และเพิ่มความถี่การตรวจตรา เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดแหล่งข่าวจากกองกำลังบูรพาเปิดเผยว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ในภาวะเฝ้าระวังขั้นสูง เนื่องจากถึงวันที่ 10 ต.ค. ที่ครบกำหนดเส้นตายประกาศให้ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทยต้องอพยพออกไป หากไม่ดำเนินการตามประกาศ อาจจำเป็นต้องบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายตามขั้นตอน ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ฝั่งกัมพูชามีทหารประจำการอยู่ในแนวเขตตลอดแนว ทหารกัมพูชาบางส่วนใช้กล้องส่องทางไกลและอุปกรณ์สื่อสารรายงานความเคลื่อนไหวในฝั่งไทยไปยังผู้บังคับบัญชาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าฝั่งตรงข้ามกำลังจับตามองสถานการณ์เช่นเดียวกันวันเดียวกัน นายแก้ว เรมี ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชา (CHRC) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เตือนผู้นำไทยไม่ให้บิดเบือนแผนที่ เพื่อทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งพรมแดนไทย-กัมพูชา ลุกลามจนกลายเป็นสนามทดสอบอาวุธของชาติมหาอำนาจ เช่น จีนหรือสหรัฐฯ ดังเช่นที่เกิดขึ้นในสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย เวลานี้นายแก้วยังโพสต์ว่า ผู้นำไทยไม่ควรบิดเบือนประวัติศาสตร์เพื่อทำให้ประชาชน 2 ประเทศเกิดความบาดหมางกันมากขึ้นและส่งความบาดหมางไปยังคนรุ่นต่อไป แต่ควรคำนึงถึงชีวิตประชาชนและเศรษฐกิจของ 2 ประเทศเป็นหลักส่วนกรณีนายเมธาชาญ หรือมีน ยอแสง อายุ 24 ปี ชาว ต. ทอนหงส์ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ที่ทำงานเป็นเชฟบนเรือเดินทางไปตามประเทศต่างๆทั่วโลกและมานอนป่วยอยู่บนฟุตปาทหน้าอาคารพาณิชย์ริมถนนในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา หลังถูก รพ.ปฏิเสธการรักษาจนเสียชีวิตอย่างอนาถา ต่อมา น.ส.สุภาวดี ยอแสง อายุ 27 ปี พี่สาวนายเมธาชาญ พร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิประชาร่วมใจ อ.พรหมคีรี เดินทางจาก จ.นครศรีธรรมราช ไปรับศพนายเมธาชาญ ที่จุดผ่านแดนถาวรปอยเปต-บ้านคลองลึก จ.สระแก้ว เมื่อเย็นวันที่ 8 ต.ค. นำกลับมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดนายอัศวเทพและนางนามี พ่อแม่นายเมธาชาญ กล่าวกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐ จ.นครศรีธรรมราช ว่า เสียใจอย่างมากที่ลูกชายต้องมาจบชีวิตอย่างน่าสงสาร ตนและญาติๆไม่เชื่อว่าลูกจะเสียชีวิตจากอาการป่วยไข้ แต่เชื่อว่าต้องถูกทำร้ายร่างกายในกัมพูชาจนเสียชีวิต เนื่องจากได้พูดคุยกับผู้ประสานงานช่วยเหลือคนไทยทราบว่าน้องมีนยังสบายดี ไม่ได้ป่วยมาก กระทั่งช่วงค่ำวันที่ 7 ต.ค.ทราบข่าวลูกเสียชีวิตแล้ว ที่สำคัญเงินสดกว่า 3 แสนบาท เอกสารพาสปอร์ตต่างๆของลูกสูญหายหมด ก่อนหน้านี้คุยกับน้องมีนผ่านอินสตาแกรม มีหญิงนิรนามคนหนึ่งคอยประสานงานให้ได้พูดคุยกัน ลูกชายได้เอ่ยปากขอเงินเพื่อเป็นค่าที่พักค่าอาหารและค่าเดินทางกลับไทย มีการถ่ายคิวอาร์โค้ดมาให้สแกนแต่ตนทำไม่เป็น ระหว่างนั้นมีเสียงคล้ายมีคนบงการอยู่ข้างๆ ก่อนวางสายไป หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อลูกชายได้ จนมาพบภาพล่าสุดลูกนอนตายอย่างน่าสงสารที่ริมถนนในกัมพูชาและไม่เชื่อว่าลูกไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทางด้านนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงกรณีนายเมธาชาญ ยอแสง เสียชีวิตที่เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา หลังถูก รพ.ปฏิเสธการรักษาว่า กระทรวงการต่างประเทศ สั่งการให้สถานกงสุลใหญ่ฯ เร่งตรวจสอบเรื่องนี้กับทางโรงพยาบาลท้องถิ่นเพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไปอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่